RSS

Monthly Archives: February 2010

แนะนำนักเรียน : โจ้ ชัมพูนท์ อัครอภิโภคี

ชัมพูนท์ อัครอภิโภคี หรือ โจ้ อยู่ DAY 4 เป็นคนเรียบร้อย เงียบๆ เพื่อนไม่เยอะ แต่มีน้ำใจ ขี้อาย รักเด็กด้วย ตอนนี้โสด เบอร์โทรศัพท์ 089 -922-9741
E-mail : jo_hotmale@hotmail.com จบม.ปลายจากโรงเรียนสารสาสน์เอกตรา หลักสูตร Bilingual (ไทย-เขมร) จบปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาออกแบบและผลิตยานยนต์ หลักสูตรนานาชาติครับ

มีประว้ติอาชญากรรมไหมคะ
ไม่มีครับ

รหัสขึ้นต้นด้วย 46 แสดงว่าเรียนที่วาเซดะมานานแล้ว
ทำไมถึงเรียนนานซะขนาดนี้ล่ะ

ผมเป็นแฟนคลับวาเซดะครับ ผู้ปกครองเป็นคนพามาสมัครเรียนที่นี่มานานมาก เป็นคอร์สวันเสาร์ประมาณ 7 คอร์ส ภาคค่ำ 1 คอร์ส แล้วก็เดย์คอร์สอีก 2 คอร์สครับ (เรียนมาขนาดนี้ยังไม่ได้เสื้อวาเซดะสักตัว) (แหม  มีตัดพ้อต่อว่า)

ใช้เวลาในการเรียนภาษาญี่ปุ่น (มาตั้งนาน) คิดว่าตัวเองมีพัฒนาการอย่างไรบ้าง
แต่ก่อนไม่ได้เดิน 2 ขา ตอนนี้เดิน 2 ขาได้แล้ว (อ่ะ ล้อเล่น)  ส่วนภาษาญี่ปุ่นเมื่อก่อนพูดไม่ได้ แต่ตอนนี้ก็พูดได้มากขึ้น (พูดได้จริงๆ ไม่ได้โม๊ววว)


ว่างๆ ทำอะไรคะ

ทำใจให้ลืมเธอครับ  (ตึ่ง โป๊ะ)


เซนเซที่วาเซดะสวยสมคำร่ำลือไหมคะ

ถ้าเป็น DAY 4 ก็โอเคครับ (หล่อไม่แคร์สื่อ)


ได้ยินว่าจะไปเรียนภาษาญี่ปุ่นที่
College of Business and Communication ทำไมถึงเลือกที่นี่ล่ะ
ก็ปรึกษาเพื่อน (เอ็ม DAY 4) แล้วก็ปรึกษาตัวแทนแนะแนวการศึกษาต่อ เห็นว่าที่นี่สอนดี เข้มงวด (แต่ยังเป็นรองวาเซดะ   แอบไปดูเซนเซที่โน่นมาแล้ว ไม่น่ารักเท่าที่ไทยวาเซดะ)


คาดหวังอะไรจากการไปเรียนต่อครั้งนี้บ้างคะ

อยากมีแฟนสวยๆ สักคนสองคน (เยอะไปไหม … ท้วงติงจาก บ.ก.) แต่ถ้าจะทำอย่างนั้นได้ ก็เก่งภาษาญี่ปุ่นก่อนครับ (มันก็ต้องอย่างน๊านอ่ะน๊า)

สเปกสาวเป็นอย่างไร
แบบลีอา ดิซอน หรือไม่ก็มาเรีย โอซาวา (คนที่คุณก็รู้ว่าใคร)  (อ้าว  นึกว่าสาวญี่ปุ่นซะอีก)

จะไปญี่ปุ่นแล้วนี่  มีเรื่องที่กังวลบ้างไหม
กลัวไม่มีแฟน

มีสถานที่ที่ต้องไปให้ได้ที่ญี่ปุ่นบ้างไหมคะ
บ่อออนเซ็นรวมครับ

ถ้ามีการสร้างภาพยนตร์ชีวประวัติของโจ้ คิดว่าใครจะมารับบทโจ้ เพราะอะไร
เรนครับ เพราะว่าหน้าตาคล้ายกัน ส่วนนางเอกคิดว่าเป็นลีอา ดิซอนก็ได้ ถ้าคนไทยก็น้องแต้ว ณัฐพร

ถ้ากลับมาจากญี่ปุ่นแล้ว คิดว่าจะทำอะไรต่อ
อยากกลับมาทำงานที่ไทยวาเซดะ เพราะว่าสะดวก ใกล้บีทีเอส  ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่น และสาวๆ สวย ( ข้างล่างตรง Food Court ) (ทีมงานวาเซดะได้ทำการประชุมด่วนแล้ว  สรุปว่า …ถ้าโจ้จะมาสมัครงานที่นี่  พวกเรา ขอคิดดูก่อน … คิดนานๆๆๆๆด้วย)

มีอะไรอยากฝากถึงเซนเซหรือคนที่เรียนภาษาญี่ปุ่นบ้างไหมคะ
ฝากถึง竹山先生ว่า 愛しているよส่วนคนที่เรียนภาษาญี่ปุ่น ถ้าอยากเก่งเหมือนผม … พยายามเข้านะ

 
8 Comments

Posted by on 02/25/2010 in student Talk

 

การทำงานกับคนญี่ปุ่น ตอนที่ 2


ภาพจาก http://www.olrepublic.com/career_detail.asp?id=53

งานที่ใช้ภาษาญี่ปุ่นคืออะไร

1) ประเภทของงานและประเภทของอุตสาหกรรม
ประเภทของอุตสาหรรม
: ส่วนใหญ่เป็นอุตหสาหกรรมการผลิต (โรงงาน) ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล

ประเภทของงาน : ผู้ช่วยผู้มาประจำการจากต่างประเทศ เลขานุการ ผู้ประสานงาน ฝ่ายขาย ฝ่ายจัดซื้อ บริการลูกค้า ผู้แปลภาษา ล่าม

2) ปัจจัยในการเลือกบริษัท
คำตอบที่ตอบบ่อย
: มีชื่อเสียง เงินเดือนสูง อยู่ใกล้บ้านไปกลับสะดวก มีสวัสดิการพรั่งพร้อม นอกจากนี้ อยากให้คำนึงถึงประเด็น “โอกาสในการเติบโต” (สามารถจินตนาการถึงอนาคตที่ดีขึ้นของตนเองในอีก 3 ปี หรือ 5 ปีข้างหน้าได้หรือไม่ อย่างไร)

คำที่ห้ามพูดขณะสัมภาษณ์งาน : “เพราะอยากจะเก่งภาษาญี่ปุ่น” (เนื่องจาก
คนสัมภาษณ์จะคิดว่า คนคนนี้ถ้าเก่งภาษาญี่ปุ่นเมื่อไหร่ ก็คงจะลาออกทันทีเลยสินะ)

คนที่ตั้งใจจะทำงานที่เดิมติดต่อกันเกิน 3 ปี กรุณาเลือกบริษัทให้ดี เพราะแม้แต่คนรักที่คบกันมาประมาณ 3 ปี ก็จะรู้ถึงข้อดีข้อเสียโดยทั่วไปของอีกฝ่าย และรู้ว่าอีกฝ่ายเหมาะสมกับตนในฐานะคู่สมรสหรือไม่ การทำงานก็เช่นเดียวกัน เนื่องจากพอทำงานมาได้ 3 ปี โดยทั่วไปก็จะได้รับประสบการณ์ทั้งส่วนดี และไม่ดี อันจะเป็นประโยชน์ในกรณีที่ย้ายไปทำงานในบริษัทอื่นต่อไป นอกจากนี้ หากในเอกสารประวัติระบุว่าเปลี่ยนสถานที่ทำงานในเวลาไม่กี่เดือน ก็อาจถูกพิจารณาว่า “เพราะเป็นคนไม่ค่อยมีความอดทน ท่าทางจะลาออกจากงานเร็วนะ”

3) วิธีการทำงานของคนญี่ปุ่นกับคนไทยมีความแตกต่างกันขนาดไหน
สิ่งที่คนไทยคิดว่าแปลกเกี่ยวกับคนญี่ปุ่น

“ทำไมถึงต้องเอาแต่ประชุมกันตลอดเลยนะ ที่เป็นเช่นนี้เพราะคนญี่ปุ่นชอบการประชุมครับ บางครั้งเอาแต่ประชุมกันทั้งวันก็ยังได้ ที่ญี่ปุ่นนิยมใช้ระบบวิธีการส่งเสียงสะท้อนที่มีต่อการบริหาร เรียกว่า Bottom Up โดยจะมีการรับฟังความคิดเห็นแม้แต่จากพนักงานที่อยู่ในตำแหน่งต่ำสุดอย่างเท่าเทียม ในขณะที่เมืองไทยส่วนใหญ่จะใช้ระบบ Top Down ในการทำงานจึงอาจจะรู้สึกลำบากอยู่บ้าง

“ทำไมคนญี่ปุ่นต้องคอยเคร่งเครียดกับความผิดพลาดเล็กน้อยถึงขนาดนั้นดังสุภาษิตที่บอกว่าถ้าเห็นแมลงสาบ 1 ตัว ก็จะคิดว่ามีแมลงสาบซ่อนอยู่ในบ้าน 1,000 ตัว กล่าวคือ ถ้ามองเห็นความผิดพลาดเล็ก ๆน้อย ๆ อย่างหนึ่ง ต้องสงสัยไว้ได้เลยว่า ที่จริงแล้วมีความผิดพลาดในการทำงานซ่อนอยู่อีกมากมายหลายเท่า และหากไม่ชี้แจงถึงสาเหตุของความผิดพลาดที่ถูกพบให้กระจ่าง เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 2 ก็จะนำมาซึ่งความรู้สึกกังวลว่า ความผิดพลาดนี้อาจจะก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาในอนาคต

“ใช่” หมายถึง “ไม่ใช่”/ “ไม่ใช่” หมายถึง “ใช่” ? (「はい」は「いいえ」、「いいえ」は「はい」?) ประเด็นดังกล่าวเป็นความยากในการแปลภาษาญี่ปุ่น ทั้งนี้ คำว่า “はい” ไม่ได้หมายถึงYes เสมอไป แต่อาจมีความหมายว่า “กำลังตั้งใจฟังอยู่” ก็ได้ ในทางกลับกัน แม้จะพูดว่า “いいえ” แต่ในบางกรณีก็ไม่ได้มีหมายความเป็นการปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง เหมือนคำว่า No ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องคิดตาม และเข้าใจบริบทแวดล้อม รวมถึงพื้นเพของเรื่อง

“ ไม่เข้ารับการอบรมในฐานะผู้ใหญ่ คนญี่ปุ่นนั้นแม้ว่าจะอยู่ในตำแหน่งประธานบริษัท ผู้จัดการโรงงาน หรือหัวหน้าฝ่าย ที่บริษัทลูกในเมืองไทย แต่ก็มีหลายกรณีที่เมื่ออยู่ที่ญี่ปุ่นคนเหล่านั้นได้ทำงานแค่ในตำแหน่งหัวหน้าแผนก หรือตำแหน่งที่ต่ำกว่า รวมถึงมีประสบการณ์ในการบริหารดูแลลูกน้องเพียงไม่กี่คนเท่านั้น กล่าวคือมีคนจำนวนมากที่อยู่ในฐานะ “ผู้ใหญ่” ซึ่งต้องควบคุมดูแลพนักงานหลายร้อย หลายพันคนเป็นครั้งแรก ส่งผลให้ต้องทำงานทั้งๆ ที่รู้สึกยากลำบาก ยิ่งคนที่ใจร้อน และมีการพูดการกระทำอันเป็นภาพลักษณ์ของประธานบริษัท ห่างไกลกับที่คนไทยคิดเอาไว้ด้วยแล้ว กรุณาให้การดูแลสักระยะจนกว่าเขาจะปรับตัวได้ด้วยนะครับ

ทั้งคนไทยและคนญี่ปุ่นต่างก็ไม่ได้มีค่านิยมในการทำงานแตกต่างกันมากขนาดนั้น โดยคนญี่ปุ่นชอบคนที่ “ขยัน” และ “มีความพยายาม” มากกว่า “คนฉลาด” คนญี่ปุ่นที่ผมรู้จักทุกคนบอกว่า “คนไทยเป็นคนขยันทำงาน” หรือไม่ก็ “ขยันยิ่งกว่าคนญี่ปุ่นเสียอีก” ผมคิดว่าไม่ใช่เพียงความรู้ หรือประสบการณ์ และประสิทธิภาพในการทำงานให้สำเร็จลุล่วงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการแสดงความพยายาม การเสียหยาดเหงื่อ หยดน้ำตาในระหว่างการทำงาน ที่จะทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจกันและกันได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น จนส่งผลให้สามารถสร้างผลงานที่ดีได้สำเร็จ

จริงหรือไม่ที่ว่าทรัพยากรบุคคลที่สื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ชอบเปลี่ยนงาน
ถึงแม้ว่าจะได้ทำงานในบริษัทที่มีชื่อเสียง และเงินเดือนสูง แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่ลาออกจากงานภายใน 2 ปี อย่างเหนือความคาดหมาย เป็นเรื่องที่แปลกมากสำหรับคนญี่ปุ่น อย่างที่โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ ก็มีหลายคนที่ลาออกจากบริษัทญี่ปุ่นที่ใหญ่โต เป็นที่รู้จักของทุกคน โดยมีเหตุผลว่า

“ลาออกจากบริษัทเพื่อมาเรียนรู้”
เมื่อลองฟังดูแล้ว ส่วนใหญ่จะบอกเหตุผลในการลาออกต่อบริษัทว่า

“คนในครอบครัวเจ็บป่วย”

“(อยาก) เรียนต่อปริญญาโท”

หรือ “อยู่ไกลบ้านมาทำงานลำบาก”

แต่เหตุผลจริงๆ แล้วคือ

“ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในองค์กรไม่ดี”

“เบื่อที่ต้องทำสิ่งเดิมๆ ซ้ำซาก”

หรือ “ไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้” เป็นต้น

ถึงแม้ว่าการลาออกจะไม่ใช่สิ่งไม่ดี แต่สิ่งที่ต้องระมัดระวังเมื่อลาออกคือ
“นกออกบินไม่ทิ้งรอยขุ่น”
หมายถึง “ทิ้งไว้แต่สิ่งดีๆ” นั่นเอง เนื่องจากสังคมแคบ การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในบริษัทเก่าเอาไว้ ก็อาจจะเป็นประโยชน์ในอนาคตก็ได้นะครับ

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

 
9 Comments

Posted by on 02/25/2010 in By Khun Shu, Variety

 

แนะนำนักเรียน : กิ๊บ พัชรพร เจริญพานิช

วาเซดะคลับ เอ็นทรี่นี้ ขอแนะนำนักเรียน Day 2 ที่ชื่นชอบ
และมีงานอดิเรกเกี่ยวกับการแต่ง Cosplay ค่ะ

พัชรพร เจริญพานิช ชื่อเล่นชื่อ กิ๊บ ค่ะ เขียนแบบกิ๊บติดผมนะคะ เรียนอยู่ DAY 2 จบม.ปลายจากโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ จบปริญญาตรีจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ วิชาเอกการออกแบบเพื่อการแสดง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร และปริญญาโทจากคณะนิเทศศาสตร์ สาขาการบริหารธุรกิจบันเทิงและการผลิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพค่ะ

วิชาเอกการออกแบบเพื่อการแสดงนี่เขาเรียนอะไรกันบ้าง
ก็เรียนทุกอย่างค่ะ จัดแสง แต่งหน้า ทำบท ฯลฯ

แล้วทำไมถึงมาเรียนภาษาญี่ปุ่นล่ะ
อยากเรียนมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ เพราะว่าชอบการ์ตูน ชอบเกมส์  ชอบวาดรูป แต่ที่ไม่เลือกเรียนภาษาญี่ปุ่นตอนปริญญาตรีเพราะชอบทางศิลปะมากกว่า และคิดว่าตัวเองไม่ค่อยมีหัวทางภาษาเท่าไหร่ค่ะ

คาดหวังอะไรจากการเรียนภาษาญี่ปุ่น
ที่จริงตอนแรกที่มาเรียนก็ไม่ได้คิดอะไรนะคะ แต่พอมาเรียนแล้ว เห็นเพื่อนๆ มีความฝันกัน  ตัวเองก็เลยเริ่มคิดบ้าง ตอนนี้อยากใช้ภาษาญี่ปุ่นในการทำงาน อยากเป็นบรรณาธิการ ทำหน้าที่รวบรวมผลงานวาดเขียนการ์ตูน หรือช่วยให้คำแนะนำคนที่ชอบวาดการ์ตูน คนที่มีความสามารถ เพราะเด็กสมัยนี้เก่ง มีฝีมือมาก แต่ยังไม่มีคนบริหารจัดการให้มีระบบค่ะ นอกจากนี้กิ๊บยังอยากได้ภาษาที่ 3 เพราะตอนนี้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาเบสิคที่ใครๆก็พูดได้ไปแล้วค่ะ

บรรยากาศในชั้นเรียนเป็นอย่างไรบ้างคะ
สนุก มันส์มากค่ะ เพื่อนๆ น่ารัก บรรยากาศในห้องครึกครื้นเฮฮา บางครั้งออกจะมากเกินไปด้วยซ้ำค่ะ

เห็นน้องกิ๊บชอบแต่ง Cosplay ช่วยเล่าถึงที่มาหน่อยได้ไหม
อย่างที่บอกค่ะ ชอบดูการ์ตูน พอดูแล้วก็เกิดความคิดว่าอยากเป็นตัวการ์ตูนตัวนั้นตัวนี้ ซึ่งก็มีตัวที่ชอบหลายตัวนะคะ อย่างตัวที่ชอบมากๆ ก็เช่น Aisaka Taiga จากเรื่อง Taradora (とらドラ) ค่ะ

Cospaly เป็นงานอดิเรกเลยหรือเปล่า
ใช่ค่ะ ก็ถือเป็นงานอดิเรกที่ช่วยให้เราผ่อนคลาย แต่ไม่ควรหมกมุ่นมากเกินไป เพราะจะทำให้สิ้นเปลือง อย่างค่าชุดนักเรียนที่เป็นชุดกะลาสี แค่ค่าตัดไม่รวมค่าผ้าก็ประมาณ 700 บาทแล้ว

แหล่งของอุปกรณ์การตัดชุด Cosplay
ส่วนใหญ่จะซื้อผ้าที่พาหุรัดค่ะ ส่วนสถานที่ตัดก็พาหุรัด หรือไม่ก็ประตูน้ำค่ะ เวลาที่ไปตัดชุดก่อนอื่นก็ต้องมีแบบ หลังจากนั้นก็ไปซื้อผ้าให้ได้ตามสีที่ต้องการ แล้วเอาผ้ากับแบบไปทิ้งไว้ที่ร้านตัดชุดค่ะ ส่วนใหญ่กิ๊บจะเอาแบบกับผ้าไปทิ้งไว้ที่ร้านนานมาก คนตัดชุดนี่เก่งมากเลยนะคะ ทำแพทเทิร์น ทำแบบเก่งมาก ยิ่งคนที่เคยตัดชุดแดนเซอร์มาก่อนจะตัดเก่งมากค่ะ

เคยไปงาน Cosplay ที่ญี่ปุ่นบ้างไหมคะ
เคยไปค่ะ ตอนนั้นไปกับทัวร์ที่โตเกียว เป็นงาน Cosplay จัดในสวนสาธารณะ ก่อนเข้างานก็ต้องซื้อบัตรแล้วเค้าก็จะให้ติดสติ๊กเกอร์ แล้วก็เข้าชมงาน ไปถ่ายรูปได้ตามสบายเลยค่ะ ตอนนั้นกิ๊บยังพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ คนนำทัวร์เขาสอนแค่คำเดียวคือ “しゃしん”(ถ่ายรูปๆๆ)

Cosplay ในไทยกับญี่ปุ่นต่างกันมากไหม
ต่างกันมากค่ะ อย่างเรื่องสายตาของคนที่มอง ที่ญี่ปุ่นก็จะเฉยๆ เพราะทุกคนก็แต่งตัวเป็นตัวของตัวเองอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นเมืองไทยก็จะถูกมองแปลกๆ อาจเป็นเพราะ Cosplay ที่ญี่ปุ่นได้รับความนิยมมากกว่าที่เมืองไทยมากด้วย

ตั้งแต่มาเรียนที่วาเซดะ มีพัฒนาการทางภาษาญี่ปุ่นอย่างไรบ้าง
เดี๋ยวนี้เวลาฟังเพลงภาษาญี่ปุ่นก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ เวลาดูหนังญี่ปุ่นก็จะดู Sub Title ตามไปด้วยว่าเขาแปลยังไง สำนวนเหมือนกับที่ใช้ในสถานการณ์ที่เราเรียนมาหรือเปล่า

อยากได้ทุนไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นบ้างไหมคะ
อยากได้ค่ะ อยากเรียนต่อด้านบริหารธุรกิจทางศิลปะ เพราะตอนนี้โลกอยู่ในภาวะตึงเครียด ธุรกิจทางศิลปะน่าจะยังไปได้ดี แต่ในวงการนี้มีศิลปินเยอะ แต่มีผู้บริหารน้อย อีกทั้งต่างฝ่ายต่างก็ไม่เข้าใจกัน กิ๊บก็เลยอยากจะเป็นคนที่อยู่ตรงกลาง ที่บริหารได้และชอบศิลปะด้วย

ทิ้งท้ายสักนิด ฝากถึงเพื่อนๆที่กำลังเรียนภาษาญี่ปุ่น
ในระหว่างที่เรียนอยู่ อยากให้ทุกคนคิดว่าจะนำภาษาญี่ปุ่นไปใช้อะไร อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆก็ได้ ดีกว่าเรียนไปตั้งหลายปี แต่ไม่ได้ใช้ก็จะลืม อย่างน้อยก็ขอให้มีความฝัน ฝันเล็กหรือฝันใหญ่ก็ยังดีค่ะ

 
3 Comments

Posted by on 02/24/2010 in student Talk, Variety

 

การทำงานกับคนญี่ปุ่น

เมื่อไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสได้ไปบรรยาย ณ ภาควิชาภาษาญี่ปุ่นของมหาวิทยาลัยรัฐบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ในหัวข้อ “การทำงานกับคนญี่ปุ่น” โดยมีนักศึกษาชั้นปีที่ 3 และ 4 ที่ต้องการทำงานในบริษัทญี่ปุ่นหลังจากจบการศึกษาเข้าร่วมรับฟังการบรรยาย (ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้าร่วมฟังการบรรยายมากนะครับ) ถึงแม้ผมจะไม่ใช่นักวิจัย หรือคนที่ทำงานในบริษัทจัดหางาน แต่เหตุผลที่ทำให้ผมได้รับมอบหมายให้ไปบรรยายในครั้งนี้สืบเนื่องมาจาก :

– การได้รู้จักคนไทยจำนวนมากที่มาเรียนภาษาญี่ปุ่น ณ โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการทำงานในบริษัทญี่ปุ่น

– การทำหน้าที่เลขานุการขององค์กรศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยวาเซดะ หรือที่เรียกว่า“โทมงคัยในกรุงเทพฯ” จึงได้มีโอกาสพบปะกับคนที่ทำงานในบริษัทญี่ปุ่น

– การได้ใช้ทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาไทยในการทำงานร่วมกับคนไทย

โดยเนื้อหาของการบรรยายที่ผมคัดเลือกมาจากเอกสารสรุป และอยากจะนำเสนอต่อทุกคนมีดังนี้ครับ

1. คนญี่ปุ่นที่ทำงานในเมืองไทย และบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย

1) ปัจจุบันมีคนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย 45,805 คน (สถิติปีค.ศ.2009 สำรวจโดยสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย)

– ในจำนวนนี้ประกอบด้วย “ผู้ที่มีความเกี่ยวพันกับธุรกิจเอกชนหรือมีครอบครัว”

34,063 คน (ประมาณร้อยละ 74 ของทั้งหมด)

– อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ 33,152 คน ชลบุรี 3,264 คน เชียงใหม่ 2,442 คน แต่

เนื่องจากจำนวนดังกล่าวมาจาก “’รายงานถิ่นพำนัก” เท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว กล่าวกันว่ามีชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่ในประเทศไทยประมาณ 60,000-70,000 คน

2) จำนวนสมาชิกหอการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ :1303 บริษัท

แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากรวมธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก คาดว่าจะมีมากกว่า 6 พันบริษัท โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในอุตสาหกรรมการผลิต (ร้อยละ 51.4) การพาณิชย์ และการค้าระหว่างประเทศ (ร้อยละ 16.6) ธุรกิจการบิน การคมนาคม (ร้อยละ 5.4) วิศวกรรมโยธา การก่อสร้าง (ร้อยละ 5.3) และส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มาจากภูมิภาค (โดยเฉพาะแถบคันไซ)

3) นิคมอุตสาหกรรม :53 โครงการทั่วประเทศ เช่นระยอง (13 โครงการ) สมุทรปราการ (6 โครงการ) อยุธยา (6 โครงการ) และชลบุรี (5 โครงการ) จึงมีความเป็นไปได้มาก ที่คนที่คิดจะทำงานในบริษัทญี่ปุ่น จะได้ทำงานในโรงงานซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม ในพื้นที่ดังกล่าว

4) คนญี่ปุ่นที่ทำงานในบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย มีทั้งคนที่เป็น “ผู้มาประจำการจากต่างประเทศ” และ “ผู้ที่จ้างในไทย” โดย ผู้มาประจำการจากต่างประเทศหมายถึง ผู้ที่ถูกสำนักงานใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นส่งมาประจำการ ส่วนใหญ่จะทำหน้าที่ในงานบริหารหรือดูแลกิจการเช่นประธานบริษัท หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค (ที่ปรึกษา) โดยประเทศไทยเป็นสถานที่ปฏิบัติงานที่ได้รับความนิยมสูงในหมู่ผู้มาประจำการจากต่างประเทศ

ทั้งนี้ คำพูดที่คนญี่ปุ่นที่ถูกส่งตัวมาประจำการที่เมืองไทยในฐานะผู้มาประจำการจากต่างประเทศ จะต้องถูกบอกกล่าวอย่างแน่นอนคือ “เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม” หรือ “ห้ามต่อว่าคนไทยต่อหน้าคนอื่น” (ไม่ดูหมิ่นศักดิ์ศรี)

ขณะที่ ผู้ที่จ้างงานในไทย หมายถึงคนญี่ปุ่นที่ถูกจ้างงานจากบริษัทลูกในพื้นที่ ส่วนใหญ่จะทำหน้าที่ให้บริการ ดูแลลูกค้าหรือฝ่ายขายของบริษัทคู่ค้า หรือทำงานบริหารจัดการในพื้นที่

(โปรดติดตามตอนต่อไป ว่าด้วยเรื่อง “งานที่ใช้ภาษาญี่ปุ่นคืออะไร”)

 
Leave a comment

Posted by on 02/24/2010 in By Khun Shu, Variety

 

แนะนำนักเรียน : ฝุ่ง อมต ชัยเกรียงไกร

อมต ชัยเกรียงไกร หรือ ฝุ่ง นักเรียน Day 3 ครับ เรียนที่วาเซดะมาได้ 5 – 6 เดือนแล้วครับ ตอนนี้ผมกำลังจะไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ Tokyo University of Technology (東京工業大学) หลักสูตร Bionics ภาควิชา Cosmetic Science ครับ หัวข้อวิจัยเป็นเรื่องการพัฒนาครีมกันแดดอนุภาคนาโน (Nanoparticle) เพราะปกติเวลาทาครีมกันแดดแล้วมันจะเป็นปื้นขาวๆ แต่ถ้าเป็นอนุภาคนาโนทาเนื้อครีมจะโปร่งใสไม่เป็นคราบครับ

หัวข้อวิจัยน่าสนใจแบบนี้ เรียนจบมาจากด้านไหน
แล้วมาเรียนภาษาญี่ปุ่นที่วาเซดะได้อย่างไร

ผมจบปริญญาตรีจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครับ สาขาเภสัชเคมี ก่อนหน้านี้เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นที่สสท.มาก่อนครับ เรียนจบเล่ม 1 แล้วอ่านเล่ม 2 เอง หลังจากนั้นก็มาสอบที่วาเซดะได้ Day 2 ที่มาเรียนที่วาเซดะเพราะมีรุ่นน้องที่โรงเรียนเดียวกันแนะนำมาครับ น้องเขาชื่อเอี๊ยว เรียนที่นี่นานมากครับ จนตอนนี้สอบวัดระดับได้ระดับ 1 แล้ว แล้วก็ได้ทุนรัฐบาลญี่ปุ่นด้วยครับ

งานอดิเรกของฝุ่ง
ผมชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป แต่งภาพ แล้วผมก็ชอบคอมพิวเตอร์มากเลยล่ะครับ เวลามีโปรแกรมใหม่ๆ ผมก็ชอบดาวน์โหลดมาลองใช้ ชอบเรียนเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์โปรแกรมโฟโต้ช๊อปด้วย

บอกเล่าเกี่ยวกับทุนการศึกษาที่ได้รับ
เป็นทุนรัฐบาลญี่ปุ่นผ่านทางสถานทูตครับ เป็นทุนไปทำวิจัย 2 ปี ระหว่างนั้นก็เตรียมสอบเข้าปริญญาโท ฝึกภาษาแล้วก็เตรียมหัวข้อวิจัย พอสอบเข้าปริญญาโทได้แล้วก็จะเปลี่ยนสถานะเป็นนักศึกษาปริญญาโท โดยทุนที่ให้ จะให้ถึงระดับปริญญาเอก หรือจะเรียนปริญญาโท 2 ใบก็ได้ครับ โดยผมจะได้รับทุนค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายอื่นๆ เดือนละ 1.5 แสนเยนต่อเดือนไปจนกระทั่งจบการศึกษาครับ สำหรับทุนการศึกษาของรัฐบาลญี่ปุ่นนี่ ก็มีหลายทุนนะครับ มีตั้ง 50 ทุน แบ่งเป็นทุนของสายศิลป์ 25 ทุน แล้วก็สายวิทย์ 25 ทุนครับ

ทำไมถึงเลือกไปศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่น
จากหัวข้องานวิจัยของผมที่จริงมี 3 ประเทศที่เชี่ยวชาญด้านเครื่องสำอาง คืออเมริกา เยอรมัน และญี่ปุ่น อย่างญี่ปุ่นก็มีแบรนด์ที่มีชื่อเสียงเช่น Shisedo หรือ Kao ที่เลือกญี่ปุ่นเพราะคนญี่ปุ่นจะมีผิวพรรณที่ใกล้เคียงกับคนไทยมากกว่า อีกอย่างผมก็อยากได้ภาษาที่ 3 ด้วย นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังเป็นประเทศที่มีทั้งวัฒนธรรม และเทคโนโลยีในประเทศเดียวกัน ซึ่งน่าสนใจมาก เพราะสำหรับผมการเดินทางก็ถือเป็นการเรียนรู้อีกวิธีหนึ่งครับ

ทำไมถึงเลือก Tokyo University of Technology
เพราะที่นี่มีอาจารย์ที่ทำงานในสาขาที่ผมสนใจครับ และที่นี่ก็เป็นที่เดียวที่มีภาควิชา Cosmetic Science และอาจารย์ที่ปรึกษาก็สนใจในหัวข้อที่ผมจะทำพอดี ทุกคนที่ต้องการหาข้อมูลนักวิจัยของญี่ปุ่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลได้ที่ฐานข้อมูลนักวิจัย http://www.read.co.jp ได้ครับ จะมีข้อมูลนักวิจัยทั่วญี่ปุ่นทั้งในและนอกมหาวิทยาลัยครับ และสามารถติดต่อนักวิจัยเหล่านั้นได้ผ่านทางอีเมลด้วยครับ

มาคำถามแบบสบายๆ กันบ้างดีกว่า คิดอย่างไรกับคำกล่าวที่ว่า
“เซนเซที่วาเซดะสวยทุกคน”

ผมคิดว่าไม่ใช่เฉพาะแต่เซนเซหรอกครับที่สวย ผู้หญิงทุกคนก็สวยทั้งนั้น ทุกคนมีความสวยในแบบของตัวเอง บางคนเวลายิ้มก็ทำให้สวยขึ้น บางคนนิสัยดีทำให้ดูสวยขึ้นได้ครับ

การเตรียมตัวก่อนเดินทางไปศึกษาต่อที่ญี่ปุ่น
ก็คงเป็นเรื่องภาษาที่ใช้เรียนน่ะครับ อย่างศัพท์เทคนิคนี่ผมไม่รู้เลย ผมเคยลองส่งอีเมลไปถาม Professor ที่ญี่ปุ่น เขาก็แนะนำให้อ่านหนังสือเคมีม.ปลายของญี่ปุ่นดูครับ แต่ผมอ่านไม่ออกเลยต้องเปิด Dict แทบทุกคำ ก็เลยกังวลเรื่องนี้มาก แต่เรื่องอื่นๆ อย่างการใช้ชีวิตก็ไม่ค่อยกังวลครับเพราะที่ญี่ปุ่นมีสมาคมนักเรียนไทยที่คอยช่วยเหลือคนไทยด้วยกันในเรื่องทั่วๆ ไปอย่างเปิดบัญชี หรือซื้อโทรศัพท์อยู่แล้ว ก็เลยไม่กังวลครับ

มีสถานที่ไหนที่อยากไปในญี่ปุ่นบ้างคะ
อยากไปฮอกไกโดครับ ได้ยินว่านมเนย ขนม แล้วก็อาหารทะเลที่นั่นอร่อยมาก

เรียนจบแล้วตั้งใจว่าจะทำอะไรต่อไป
ก็คงจะทำงานในบริษัทญี่ปุ่นครับ ทำเกี่ยวกับเรื่องวิจัยผลิตภัณฑ์ พวกเครื่องสำอางค์ครับ

ฝากถึงเพื่อนๆ น้องๆ ที่สนใจอยากจะขอทุนการศึกษา
ข้อแรกต้องศึกษาข้อสอบ อย่างทุนรัฐบาลก็สามารถดาวน์โหลดข้อสอบปีก่อนๆ จากอินเตอร์เน็ตเพื่อเอามาอ่าน เตรียมตัวก่อนได้ เพราะถ้าเรารู้แนวข้อสอบก็เท่ากับว่าเราประสบความสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง สอง ต้องมีหัวข้อวิจัยที่ทำได้จริงแล้วก็เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย นอกจากนี้เวลาเขียน Study plan ควรเขียนความตั้งใจที่จะทำอย่างอื่นด้วยนอกเหนือจากเรื่องเรียน เช่น ผมเขียนว่าอยากจะไปศึกษาวัฒนธรรมญี่ปุ่นด้วยเพื่อทำให้คนที่พิจารณาให้ทุนเห็นเราเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ไทย – ญี่ปุ่นทั้งเรื่องเทคโนโลยีและวัฒนธรรมครับ ส่วนเรื่องการอ่านหนังสือ ผมก็ตั้งแผนการอ่านเอาไว้เพื่อบังคับไม่ให้ตัวเองขี้เกียจ เช่นกำหนดว่าแต่ละต้องอ่านหนังสือแค่ไหน สมมติว่าถ้าวันนี้ขี้เกียจไม่อ่านหนังสือ พรุ่งนี้ก็ต้องอ่านเพิ่มเป็น 2 เท่า ที่สำคัญคือต้องเคารพกฏที่ตัวเองตั้งขึ้นครับ

 
5 Comments

Posted by on 02/23/2010 in student Talk

 

ซากุระ

อีกไม่นานญี่ปุ่นก็จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วนะครับ พอพูดถึงฤดูใบไม้ผลิ แน่นอนว่าหลายๆ คนก็คงจะคิดถึงดอกซากุระ ที่โตเกียวดอกซากุระจะบานตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน โดยแต่ละปี ช่วงเวลาการบานของดอกซากุระจะค่อยๆ มีการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อย หากในระหว่างฤดูหนาว (เดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์) อุณหภูมิหนาวจัด ดอกซากุระก็จะบานช้าลง ในทางกลับกันในฤดูหนาวที่อากาศไม่หนาวมากดอกซากุระก็จะบานเร็วขึ้น คิดว่าคงจะมีคนไทยที่เดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อไปชมดอกซากุระอยู่บ้างเหมือนกันใช่ไหมครับ

หากไปโตเกียวในช่วงคาบเกี่ยวของวันก่อนหน้าหรือหลังวันที่ 1 เมษายน น่าจะมีโอกาสมากกว่าร้อยละ 90 ที่จะได้ชมดอกซากุระ ทั้งนี้ สำหรับชาวญี่ปุ่นแล้ว ดอกซากุระ เป็นดอกไม้ที่ชาวญี่ปุ่นชื่นชอบมากที่สุด ทุกๆ ปี จะมีการเสนอข่าว “พยากรณ์การบานของดอกซากุระ” ทางโทรทัศน์และอินเตอร์เน็ต ซึ่งจะเป็นการตรวจสอบกำหนดการการชมดอกซากุระไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

โดยบริษัทพยากรณ์อากาศ “ วีซ่านิวส์ ” ได้จัดสถานที่สังเกตการณ์การบานของดอกซากุระไว้มากกว่า 600 จุดทั่วประเทศ อีกทั้งยังมีการคาดการณ์การบานของดอกซากุระในแต่ละปี ณ ตำแหน่งที่แม่นยำ ซึ่งสถานที่สังเกตการณ์ดอกซากุระที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโตเกียว อยู่ที่สวนสาธารณะอุเอโนะ โดยกล่าวกันว่าดอกซากุระจะบานเต็มที่ในวันที่ 31 มีนาคม สามารถติดตามรายละเอียดได้จากเว็บไซต์ต่อไปนี้

http://weathernews.jp/sakura/pinpoint/?id=106

ทุกท่านที่จะไปฝึกอบรมภาษาญี่ปุ่นที่มหาวิทยาลัยวาเซดะระหว่างวันที่ 21 มีนาคม – 9 เมษายน มีกำหนดการที่จะไปชมดอกซากุระที่สวนอุเอโนะร่วมกับนักศึกษามหาวิทยาลัยวาเซดะในวันที่ 30 มีนาคม ซึ่งพอถึงช่วงเวลานี้ผู้สูงอายุจะรู้สึกยินดีว่า “ปีนี้ก็ได้ชมดอกซากุระอีกแล้วสินะ” แต่ขณะเดียวกันในจิตใจส่วนลึกก็คิดว่า “จากนี้ จะมีโอกาสได้ชมดอกซากุระอีกสักกี่ครั้งกันนะ”

ดอกซากุระที่หนึ่งปีจะบานเพียงหนึ่งครั้ง และจะมีชั่วอายุเพียงหนึ่งสัปดาห์ ก่อนที่กลีบบางสีชมพูอ่อนจะถูกลมพัดร่วงหล่นลงอย่างพร้อมเพรียงกัน ชั่วอายุของดอกซากุระก็เหมือนช่วงชีวิตอันแสนสั้นของมนุษย์เรานี่แหละนะครับ

ด้วยเหตุดังนั้นทำให้นับตั้งแต่ครั้งอดีต มีการแต่งบทเพลงซึ่งเป็นเรื่องของดอกซากุระเกิดขึ้นมากมาย โดยในจำนวนนั้น ผมชอบเพลง “ซากุระ” ซึ่งเป็นเพลงของโมริยามะ นาโอทาโร(森山直太朗)มากที่สุด

ที่ญี่ปุ่นปลายเดือนมีนาคมเป็นช่วงแห่งการจบการศึกษา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือเป็นฤดูกาลแห่งการลาจาก ใต้ต้นซากุระจึงเป็นสถานที่กล่าวคำร่ำลาต่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนหรือคนที่ชอบ เมื่อต้องก้าวต่อไปสู่วิถีชีวิตใหม่ๆ ดังนั้น เมื่อมองดอกซากุระ คนญี่ปุ่น ทุกเพศทุกวัย ก็จะคิดถึงคืนวันที่ผ่านพ้นไปและวันเวลาที่ขมขื่นในวัยเยาว์ ทำให้รู้สึกเจ็บปวดราวกับหัวใจถูกบีบคั้น

ผมเองก็จะไปโตเกียวด้วย เพื่อช่วยฝึกอบรมภาษาญี่ปุ่นแก่เหล่านักเรียน (ตอนนี้ ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนมัธยมปลายและนักศึกษาครับ) ปีนี้ไม่รู้ว่าจะได้ชมดอกซากุระแบบไหน ตอนนี้ก็กำลังตั้งตารอครับ ยังไงก็คิดว่าจะถ่ายรูปสวยๆ แล้วนำมาอวดในบล๊อกนี้ด้วยครับ

 
4 Comments

Posted by on 02/22/2010 in By Khun Shu, Life in japan, Variety

 

ภาษารักของชาวญี่ปุ่น

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา รอยเตอร์(Reuters) สำนักข่าวระดับโลกเสนอข่าวว่า คำว่า “ฉันรักเธอ” ในภาษาญี่ปุ่นหรือ “私はあなたを愛します”ได้รับเลือกให้เป็นคำบอกรักที่ไม่โรแมนติกที่สุดในโลก ซึ่งสามารถติดตามรายละเอียดได้จาก

http://jp.reuters.com/article/oddlyEnoughNews/idJPJAPAN-13894420100215

ในขณะที่มีคำว่า “รัก” ในภาษาฝรั่งเศสหรือ “amour” ได้รับการยกย่องว่าเป็นคำรักที่โรแมนติกที่สุดในโลก ซึ่งผมคิดว่าคงมีคนญี่ปุ่นจำนวนมากที่อ่านข่าวนี้แล้วรู้สึกแปลกๆ ทะแม่งๆ อยู่บ้างล่ะครับ ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่รู้สึกอย่างนั้น โดยมีเหตุผลดังต่อไปนี้ครับ

–          คำว่า “私はあなたを愛します”เมื่อแปลอย่างตรงตัวจะหมายถึง  “I Love you” ในภาษาอังกฤษ แต่อันที่จริงแล้วไม่มีใครเขาใช้กันครับ

–          โดยพื้นฐานแล้ว คนญี่ปุ่นไม่ถนัดในการถ่ายทอดความรักด้วยถ้วยคำที่ตรงไปตรงมาครับ

ถ้าจะว่าไปแล้วในภาพยนตร์เรื่อง “คู่กรรม” ที่ผมนำเสนอลงในบล็อกก่อนหน้านี้ ในฉากที่พี่ เบิร์ดซึ่งรับบทเป็นโกโบริต้องบอกรักอังศุมาลิน ก็ใช้บทพูดภาษาญี่ปุ่นว่า “あなたを愛します”

เนื่องจากในตอนที่ผมทำหน้าที่ช่วยเขียนบทภาษาญี่ปุ่น ผมไม่ได้บอกทีมงานผู้สร้างภาพยนตร์ว่า “คนญี่ปุ่นเขาไม่พูดกัน” น่ะครับ ยิ่งไปกว่านั้นการที่นายทหารจะใช้ถ้อยคำบอกรัก ดูจะไม่แปลกไปหน่อยเหรอครับ แต่ถ้าจะพูด ผมขอแนะนำว่าคนญี่ปุ่นจะบอกรักกันโดยใช้คำว่า “好きです” (ชอบ) หรือ “愛してるよ” (รักนะ) จะเป็นธรรมชาติมากกว่าครับ อย่างไรก็ดี ผมคงถูกว่าเอาได้ว่า “บทพูดคำว่า『あなたを愛します』ในเวอร์ชั่นที่ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ก่อนหน้านี้มีชื่อเสียงมากนะคงจะเปลี่ยนไม่ได้หรอก” (ฮือๆ)

เอ … แล้วอย่างนี้ เวลาคนญี่ปุ่นแสดงออกถึงความรู้สึกชอบต่อเพศตรงข้าม เขามีท่าทียังไงกันนะ

ถึงตอนแรกคิดว่าจะบอกตรงๆไปเลยว่า “ชอบนะ” (好きだ!) แต่มันก็เหมือนในละคร ออกจะน้ำเน่าไปหน่อย เวลาที่อยากเป็นแฟนกับใครสักคน จึงมักจะใช้คำว่า “กรุณาคบกับฉันด้วยค่ะ/กรุณาคบกับผมด้วยครับ” (つきあってください) หรือมีบางกรณีที่ค่อนข้างคลุมเครือ ถ้าทั้งสองคนต่างก็รู้ว่าต่างฝ่ายต่างก็ชอบกันโดยที่ไม่ต้องบอก เช่นหลังจากที่ไปดูหนังด้วยกัน ไปกินข้าวด้วยกัน พอถูกเพื่อนถามบ่อยๆ เข้าว่า “เป็นแฟนกันเหรอ” ก็จะตอบว่า “อืม ทำนองนั้นมั้ง” เท่ากับเป็นการยอมรับกับตัวเองและกับคนอื่นไปในตัวว่าเป็นคนรักกัน

กรณีการขอแต่งงาน คิดว่าโดยทั่วไปจะพูดว่า “แต่งงานกันนะ” (結婚しよう) หรือ “กรุณาแต่งงานกับผมด้วยครับ/ กรุณาแต่งงานกับฉันด้วยค่ะ” (結婚してください) ครับ นอกเหนือจากนี้ก็จะพูดว่า

“เราสองคนจะอยู่ด้วยกันตลอดไปจนแก่จนเฒ่านะ (จนเป็นคุณตาคุณยาย)” (二人がおじいちゃん、おばあちゃんになるまでずっと一緒にいよう)

“มาร่วมสร้างวันแห่งความทรงจำครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตกันไหม” (人生最大の記念日を作ろうか)

หรือ

“จากนี้ตลอดไป กรุณาอยู่เคียงข้างผมจนกว่าจะถึงวันตายนะครับ” (これからずっと。死ぬまで俺の隣にいてください)

และ

“(อยากจะเป็นร่ม) อยากจะปกป้องคุ้มครอง เธอจากความยากลำบากทั้งหลายในชีวิตมนุษย์” (人生のさまざまな困難から君を守る、傘になりたい)

ถ้าเป็นในสมัยก่อน ผู้ชายอาจจะพูดว่า “อยากจะกินข้าวฝีมือเจ้าทุกวัน” แต่ถ้าเป็นญี่ปุ่นในปัจจุบันคนที่เอาแต่ใช้ให้ภรรยาทำงานบ้าน คงจะถูกตีตราว่าเป็นคนที่ “ขาดคุณสมบัติของสามี” ไปเลยล่ะครับ นอกจากนี้ยังมีคนที่ใช้วิธีสวมแหวน โดยที่นิ่งเงียบ ไม่มีคำพูดใดๆ ด้วยเหมือนกันนะครับ

คนทั่วไปก็คงจะชอบขอแต่งงานกันในสถานการณ์ที่โรแมนติก อย่างเช่นขอแต่งงานขณะนั่งชมบรรยากาศตะวันลับขอบฟ้า นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าแสนโรแมนติกของหญิงสาวที่ถูกเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตความว่า “ได้รับตุ๊กตาเป็นของขวัญจากแฟนหนุ่ม โดยที่นิ้วของตุ๊กตาตัวนั้นสวมแหวนเพชรอยู่ เป็นการขอแต่งงานค่ะ” ในกรณีนี้การเลือกตุ๊กตาเป็นสิ่งสำคัญนะครับ เพราะถ้าเลือกซื้อผิด อย่างซื้อโดเรมอนมาล่ะก็ยุ่งแน่ ก็โดเรมอนมีนิ้วซะที่ไหนล่ะครับ

 
13 Comments

Posted by on 02/22/2010 in By Khun Shu, Variety

 

แนะนำนักเรียน : แนน นันทิยา ชุโนทัยสวัสดิ์

แนน   นันทิยา ชุโนทัยสวัสดิ์
นักเรียน
Day 2 ปัจจุบันอายุ 24 ปี จบปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ ภาคภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตอนนี้แนนได้รับทุนการศึกษาจากธนาคารกสิกรไทย กำลังอยู่ในระหว่างการเตรียมตัวเดินทางไปศึกษาต่อหลักสูตร MBA ที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นค่ะ

เหตุผลที่เลือกเรียน ที่โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ
ที่จริงตอนเด็กๆ
แนนก็ชอบการ์ตูน ชอบเล่นเกมส์ญี่ปุ่นอยู่แล้ว แต่ก็ไม่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมาก่อน พอดีตอนนี้แนนได้รับทุนของธนาคารกสิกรไทยไปศึกษาต่อหลักสูตร MBA ที่ญี่ปุ่น แต่แนนไม่มีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นเลย ไม่รู้ตัวอักษรญี่ปุ่นด้วยซ้ำ ก็เลยตัดสินใจมาเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างจริงจัง แล้วรุ่นพี่ก็แนะนำมาว่าที่วาเซดะสอนดีที่สุดในเมืองไทย อีกอย่างเพื่อนที่เรียนอยู่ที่ College of Business and Communication บอกว่าใช้หลักสูตรเดียวกับที่นี่ เป็นหลักสูตรที่ดี และบอกด้วยนะคะว่าต้องเรียนที่วาเซดะเท่านั้น

ชีวิตการเรียนภาษาญี่ปุ่นที่โรงเรียนวาเซดะ
ตอนแรก
แนนทำงานประจำอยู่ค่ะ พอได้ทุนก็ลาออกมาเรียนอย่างเดียวเลย เพราะทุนที่ได้นี่ แนนต้องหามหาวิทยาลัยเอง มาเรียนที่ไทยวาเซดะช่วงแรก ลำบากมากเพราะต้องเรียนไปด้วย สมัครมหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่นไปด้วย แล้วก็ต้องสอบภาษาอังกฤษ อย่าง GMAT TOEFL ตอนDay 1 เลยหนักมากค่ะ

แล้วแบ่งเวลาอย่างไร
ทุกวันหลังเลิกเรียนจะอ่านหนังสือเตรียมสอบภาษาอังกฤษถึง 4 ทุ่ม แล้วก็จะทำการบ้านภาษาญี่ปุ่นของวาเซดะอีก 2 ชั่วโมง พอตื่นเช้ามาก็ท่องศัพท์ นั่งอยู่บนรถก็ท่องศัพท์ค่ะ แต่ดีที่เพื่อนๆในห้องคอยช่วย
เหลือตลอด อย่างบางทีแนนมีความจำเป็นที่ต้องกลับก่อน เพื่อนก็คอยเก็บชีท เก็บการบ้านไว้ให้ พอตอนกลางคืนก็โทรมาติวให้ด้วยค่ะ

รู้สึกว่า Day 2 ของเทอมนี้เหนียวแน่นมากเลย
ตอนแรกทุกคนก็มาจากคนละที่ แต่ต่างก็มีจุดหมายเดียวกันคืออยากพูดภาษาญี่ปุ่นได้ ก็เลยค่อ
ยๆ เปิดใจเข้าหากัน แล้วก็มีกิจกรรมร่วมกันนอกห้องเรียนเช่น ไปกินข้าวด้วยกัน นอกจากจะได้ภาษาญี่ปุ่นแล้ว ยังได้เพื่อนดีๆด้วยค่ะ

วิธีการสอนของเซนเซที่วาเซดะเป็นอย่างไรบ้างคะ
วิธีการสอนเป็น ธรรมชาติ ตอนแรกไม่รู้เรื่อง
Structure เลย  แต่พอฟังมากๆ แล้วเซนเซก็ให้ฝึกพูดเยอะ ก็เลยพูดได้ตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องท่องจำ และเซนเซก็ใส่ใจนักเรียนแต่ละคน รู้ว่าใครเก่งหรือมีจุดด้อยตรงจุดไหน เซนเซจะเน้นย้ำตรงจุดที่นักเรียนยังอ่อนอยู่  นอกจากนี้ เซนเซก็ยังเข้าใจธรรมชาติของนักเรียนไทย ทำให้ทราบว่า ควรจะเน้นย้ำหรือแก้ไขตรงไหนเป็นพิเศษ

กำลังจะไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นแล้ว มีเรื่องที่กังวลใจบ้างไหม
ตอนนี้กังวลเรื่องที่พักค่ะ เพราะต้องหาที่อยู่เอง

ช่วยอธิบายเกี่ยวกับทุนการศึกษาจากธนาคารกสิกรที่แนนได้รับ
เป็นทุนที่ครอบคลุมทุกอย่างค่ะ ทั้งค่าเล่าเรียน ค่าที่อยู่ ค่าครองชีพ แต่ต้องกลับมาใช้ทุน 2 เท่า เช่นถ้าได้ทุน 2 ปี ก็ต้องกลับมาใช้ทุน 4 ปีค่ะ แต่ก็คิดว่าดีนะคะ เพราะอยากทำงานที่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นอยู่แล้ว


หลักสูตรที่
แนนจะไปเรียนต่อเป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษ แสดงว่าต้องเก่งภาษาอังกฤษแน่ๆเลย

แนน
คิดว่าส่วนหนึ่งอยู่ที่ความมุ่งมั่น เพราะแนนมีความฝันว่าอยากเป็นนักเรียนทุนไปเรียนต่อต่างประเทศมาตั้งแต่เด็กค่ะ ส่วนเรื่องภาษาอังกฤษแนนก็พอพูดได้ เพราะแนนเคยไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกามา 1 ปี ไปเรียนปีสามที่โน่นแล้วกลับมาเรียนปีสี่ที่เมืองไทย ตอนนั้นไปอยู่ที่เมืองซีแอตเติลค่ะ อากาศเหงา เศร้าๆ ฝนตกปีละ 9 เดือน

ที่บ้านสนับสนุนให้เรียนภาษาญี่ปุ่นไหมคะ
ที่บ้านสนับสนุนมากค่ะ อยากให้ลูกพูดภาษาที่ 3 ได้

แนนชอบอะไรเกี่ยวกับญี่ปุ่นบ้าง
ชอบความมุ่งมั่นของคนญี่ปุ่นค่ะ
แนนเคยมีรูมเมทเป็นคนญี่ปุ่นตอนไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกา เลยเห็นความมุ่งมั่น มีการวางแผน  ความเป็นระเบียบของเขา อย่างตอนไปเที่ยวเขาจะมีการวางแผนไว้หมด มีทั้งแผนเอ แผนบี แผนซีเตรียมไว้หมด นอกจากนี้ แนนยังชอบประเทศญี่ปุ่นด้วยค่ะ รู้สึกว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีมิติ มีรายละเอียดทั้งบ้านเรือนหรือแค่ตามร้านเล็กๆ ส่วนคนที่เดินทั่วไปตามท้องถนนก็มีความเป็นตัวตน เป็นตัวของตัวเองสูงมากเลยค่ะ

มีอะไรอยากฝากให้กับคนที่กำลังเรียนภาษาญี่ปุ่นบ้างคะ
ขอให้ทุกคนมุ่งมั่น ตั้งใจทำต่อไปเรื่อยๆ วันหนึ่งก็จะเก่งขึ้นได้เองค่ะ ถ้าเราตั้งใจจริง ก็ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ค่ะ

 
2 Comments

Posted by on 02/20/2010 in student Talk

 

วันวานยังหวานอยู่ 2

เหตุผลหนึ่งที่ “ญี่ปุ่นในอดีตเมื่อไม่นานมากนัก” เป็นแหล่งรวบรวมความนิยมในหลายๆ ปีเอาไว้ได้ ก็คือ การเปลี่ยนแปลงของประชากร กล่าวคือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นได้เข้าสู่ยุค “เบบี้บูม” ถึง 2 ครั้ง โดยเบบี้บูมเป็นปรากฏการณ์ที่มีประชากรที่อยู่ในวัยเด็กเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากเมื่อเปรียบเทียบกับวัยอื่นๆ

โดยปรากฏการณ์เบบี้บูมครั้งที่ 1 เกิดขึ้นหลังจากที่สงครามสิ้นสุดลง เมื่อประมาณปีค.ศ. 1946-1950 เนื่องจากเป็นยุคสมัยแห่งสันติภาพ สภาพสังคมมีความปลอดภัยเหมาะแก่การเลี้ยงดูลูก และปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะแต่ในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นในยุโรป และอเมริกาอีกด้วย

ขณะที่ปรากฏการณ์เบบี้บูมครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อคนที่เกิดในยุคเบบี้บูมครั้งที่ 1 แต่งงานกัน และมีลูก อยู่ในช่วงประมาณปีค.ศ. 1970-1975 ซึ่งจะว่าไปแล้วผมก็เป็นคนที่เกิดในยุคเบบี้บูมครั้งที่ 2 นี่แหละครับ และเนื่องจากประชากรที่เกิดในยุคเดียวกันมีจำนวนมาก การสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลาย มหาวิทยาลัย หรือแม้แต่กระทั่งการหางานจึงมีการแข่งขันขับเคี้ยวกันอย่างสูง จนกล่าวได้ว่าเป็นผลเสียของปรากฏการณ์

ทั้งนี้ “ญี่ปุ่นในอดีตเมื่อไม่นานมากนัก” ได้รับความนิยมในช่วงเวลาเดียวกันกับที่คนที่เกิดในสมัยเบบี้บูมครั้งที่ 1 เกษียณอายุจากการทำงาน ขณะที่คนที่เกิดในยุคเบบี้บูมครั้งที่ 2 อยู่ในวัยเจริญพันธ์ กำลังแต่งงานหรือดูแลลูก กล่าวคือ กลุ่มคนที่อายุประมาณ 60 ปี เมื่อเกษียณอายุจากการทำงานที่บริษัท อีกทั้งลูกก็เรียนจบมหาวิทยาลัย หรือแต่งงานแล้ว คนกลุ่มนี้จึงสามารถใช้เงินและเวลาได้อย่างเหลือเฟือ จนทำให้คิด “โหยหา” วันเวลาที่ตัวเองยังเป็นเด็กที่ทั้งผู้คนและสังคมยังอยู่กันแบบสบายๆ ไม่เร่งรีบ และอยากจะกลับไปสัมผัสกับบรรยากาศในสมัยก่อนอีกสักครั้ง ถึงแม้ว่าในขณะนั้นจะไม่ได้อยู่สุขสบายเท่ากับปัจจุบันก็ตาม เห็นได้จากเมื่อมีการฉายภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง “Always” ซึ่งได้รับการตอบรับในญี่ปุ่นอย่างท่วมท้น จนกลายเป็นหัวข้อสนทนาแม้แต่ในประเทศไทย โดยภาพยนตร์เรื่องนี้มีผู้ที่ร้องไห้ในโรงภาพยนตร์เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนที่เกิดในยุคเบบี้บูมครั้งที่ 1

ขณะเดียวกัน คนที่เกิดในยุคเบบี้บูมครั้งที่ 2 เป็นกลุ่มคนซึ่งอยู่ในวัยที่ต้องใช้จ่ายเงินมากที่สุดในช่วงชีวิตมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้าน รถยนต์ หรือจ่ายค่าเล่าเรียนลูก ถือเป็นลูกค้ากลุ่มที่สำคัญที่สุดของธุรกิจผู้ขายสินค้าและบริการเลยล่ะครับ

เมื่อปีที่แล้ว ที่ผมกลับญี่ปุ่น ผมได้เห็นโฆษณาขายรถยนต์สำหรับครอบครัวใช้เพลงประกอบของค่าย BGM ซึ่งเป็นเพลงรักที่ได้ความนิยมอย่างสูงในสมัยที่ผมเรียนอยู่มหาวิทยาลัย (เมื่อประมาณ 18 ปีที่แล้ว) คนที่อยู่ในยุคเดียวกันที่ได้เห็นโฆษณานี้ ก็คงจะมีความรู้สึก “โหยหา” ว่า “ตอนนั้นคิดแต่เรื่องสนุกๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนรัก หรือเรื่องท่องเที่ยว ดีจังเลยนะ” จนกล่าวได้ว่าบริษัท และผู้ผลิตโฆษณาที่ให้ความสำคัญกับกลุ่มเป้าหมาย (คนรุ่น 31-39 ปี หรือคนที่มีครอบครัวแล้ว) ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

ในคราวก่อนที่ผมแนะนำ “เพลินวาน” ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในบรรยากาศ “อดีตเมื่อไม่นานมากนัก”  อันที่จริงเมื่อหลายปีก่อนไทยเองก็มีภาพยนตร์เรื่อง “แฟนฉัน” ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากด้วยเหมือนกันนี่ครับ ในภาพยนตร์ใช้สถานที่ในจังหวัดเพชรบุรีซึ่งมีภาพบ้านเรือนไม้เรียงรายสองฟากฝั่ง และใช้เพลงประกอบหลายเพลงจากวง “สาว สาว สาว” วงดนตรีที่ได้รับความนิยมล้นหลามในทศวรรษ 1980  ซึ่งคงจะทำให้กลุ่มคนที่มีอายุมากกว่า 30 ปี ที่ใช้ชีวิตในแต่ละวันผ่านไปอย่างวุ่นวาย เร่งรีบ เอาแต่มุ่งความสนใจไปที่บริษัทหรือครอบครัว ได้ฉุกคิดถึงชีวิตที่สบายๆ และแสนสุขในวัยเด็ก รวมถึงเกิดความรู้สึก “โหยหา” ขึ้นบ้างล่ะครับ

แต่ว่าถ้าผมเอาแต่เล่าเรื่องเก่าโบราณมากเกินไป จะถูกเจ้าหน้าที่คนไทยที่ยังอายุน้อยในโรงเรียน (พีซัง) ว่าเอาได้ว่า “แก่แล้วใช่ไหมล่ะคะ เป็นคุณลุงแล้วเนอะ” เลยพอแค่นี้ดีกว่าครับ

 
1 Comment

Posted by on 02/19/2010 in Variety

 

แนะนำนักเรียน : เอ็ม เบญจวรรณ เหลืองจารุ

เอ็ม – เบญจวรรณ เหลืองจารุ ตอนนี้เรียนอยู่ Day 4 เอ็มเป็นคนโคราช เรียนจบปริญญาตรีจากคณะเทคโนโลยีการผลิต มหาวิทยาลัยขอนแก่น เหตุที่มาเรียนภาษาญี่ปุ่นก็เพราะตอนเรียนที่มหาวิทยาลัยต้องเรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นวิชาบังคับเลือก พอเรียนแล้ว รู้สึกชอบ เพราะภาษาญี่ปุ่นน่ารัก ตัวหนังสือก็น่ารัก แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะมีประโยชน์ในอนาคตอะไรเลยค่ะ

ทำไมถึงเลือกเรียนที่วาเซดะ
คือเอ็มรู้จักอาจารย์ท่านหนึ่งตอนเรียนพิเศษที่โคราช อาจารย์เลยแนะนำให้มาเรียนที่วาเซดะ เพราะบอกว่าที่นี่สอนดี เนื้อหาแน่น แต่แพงไปหน่อย(หัวเราะ) แล้วก็มีคอร์สปีเดียวจบด้วย ก็เลยมาเรียนค่ะ

ก่อนหน้าที่จะมาเรียนภาษาญี่ปุ่นแบบเต็มวัน เอ็มเคยทำงานมาก่อนไหม แล้วได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นบ้างหรือเปล่า
เอ็มเคยทำงานมา 3 ปีแล้วค่ะ ทำตำแหน่งซูเปอร์ไวเซอร์สายการผลิตที่โรงงานในโคราช แต่ไม่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นเลยค่ะ

แล้วอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เอ็มลาออกจากงานมาเรียนภาษาญี่ปุ่น
ตอนนั้นเมื่อประมาณปีที่แล้ว เป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำพอดี ก็เลยคิดว่าถ้าเรียนภาษาญี่ปุ่นแล้วน่าจะมีทางเลือกมากขึ้น เพราะที่โคราชมีโรงงานของญี่ปุ่นเยอะค่ะ

ตั้งแต่เริ่มเรียนจนถึงตอนนี้  มีพัฒนาการอะไรบ้าง
ตอนแรกพูดไม่ได้เลยค่ะ พูดได้แค่ทักทาย แนะนำตัว ทั้งที่เคยเรียนมาแล้ว แต่ว่าตอนนี้ก็สามารถสื่อสาร พูดอธิบายความคิด ความต้องการของตัวเองได้แล้ว (ดีใจ)

เห็นว่าเอ็มจะไปศึกษาต่อที่ญี่ปุ่น ช่วยเล่ารายละเอียดให้ฟังหน่อยได้ไหม
เอ็มจะไปเรียนต่อหลักสูตรภาษาญี่ปุ่น ที่ College of Business and Communication จังหวัดคานากาวาค่ะ ที่เลือกที่นี่เพราะที่ Jeducation แนะนำมาค่ะ ว่าหลักสูตรดี สอนดี ใกล้โตเกียว แต่คนไม่เยอะเท่าโตเกียวค่ะ

จะไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นแล้ว มีอะไรที่กังวลบ้างไหม
กลัวเข้ากับคนต่างชาติไม่ได้ค่ะ กลัวฟังสำเนียงคนต่างชาติที่ไม่ใช่คนญี่ปุ่นไม่เข้าใจด้วยค่ะ

เป็นผู้หญิงที่ดูเรียบร้อยมาก ไปเรียนต่อต่างประเทศคนเดียว ที่บ้านมีความคิดเห็นยังไงบ้าง
ตอนแรกที่บ้านก็ห้ามค่ะ แต่ก็ต้องอธิบายว่าเรียนเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการทำงานในอนาคต

คาดหวังอะไรจากการไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น
เอ็มอยากเป็นล่ามค่ะ หรือไม่ก็อยากสอนภาษาญี่ปุ่น เพราะที่โคราชยังมีคนสอนภาษาญี่ปุ่นน้อยค่ะ

นอกจากเรื่องเรียนแล้ว มีอะไรที่เอ็มตั้งใจจะทำให้ได้ตอนที่อยู่ญี่ปุ่นบ้าง
อยากหาเพื่อนคนต่างชาติค่ะ โดยเฉพาะเพื่อนคนญี่ปุ่นให้ได้เยอะๆ เพราะความรู้ โลกทัศน์เราจะได้กว้างขึ้นค่ะ

ฝากถึงเพื่อนๆที่กำลังเรียนภาษาญี่ปุ่น
ส่วนใหญ่คนที่เรียนภาษาญี่ปุ่นก็จะเรียนถึงแค่เบื้องต้น เพราะพอเรียนมาถึงจุดหนึ่งที่ยากขึ้นก็จะถอดใจ แต่อยากให้คิดว่าภาษาญี่ปุ่นก็เหมือนภาษาอื่น คือยากพอๆกัน เพราะไม่ใช่ภาษาแม่ของเรา อย่าถอดใจ ให้คิดถึงความฝันของเราเอาไว้ค่ะ

 
3 Comments

Posted by on 02/18/2010 in student Talk

 

แนะนำนักเรียน : ฮุ้ง โสภาพรรณ จึงวิวัฒนาภรณ์


ฮุ้ง  โสภาพรรณ จึงวิวัฒนาภรณ์
นักเรียน Day 2 ค่ะ จบมัธยมปลายจากโรงเรียนเตรียมอุดม และปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

กิจกรรมวันว่างๆ
เล่นเกมส์ อ่านการ์ตูน

ทำไมถึงมาเรียนภาษาญี่ปุ่น
ฮุ้งว่างมากค่ะ แล้วก็เคยเรียนมาก่อน แล้วภาษาญี่ปุ่นก็มีประโยชน์ในการเล่นเกม ดูการ์ตูนด้วย

ทราบมาว่าได้รับทุนไปศึกษาระดับปริญญาโทหลักสูตร Logistics สถาบัน University of Marketing and Distribution Sciences ที่โกเบ คาดหวังอะไรจากการไปศึกษาต่อครั้งนี้บ้าง
อีก 3 ปี ค่อยถามได้ไหมคะ (หัวเราะ) ยังไม่รู้ค่ะ


นอกจากไปเรียนแล้ว มีอะไรอีกไหมที่ฮุ้งคิดว่าจะทำให้ได้ ตอนอยู่ญี่ปุ่น

กิน เที่ยว อ่านการ์ตูน ไปหาพี่ชา พี่นอย ที่โตเกียวค่ะ (พี่ชา และ พี่นอย เป็นนักเรียน Day 2 ที่มีกำหนดจะไปศึกษาต่อที่ญี่ปุ่น)

หลังจากเรียนจบแล้ว ตั้งใจจะทำงานอะไร
คิดว่าคงกลับเมืองไทย มาช่วยกิจการที่บ้านคะ

ที่วาเซดะ บรรยากาศในห้องเรียนเป็นยังไงบ้าง
รั่วค่ะ (หัวเราะ) ออกนอกเรื่องตลอด เรียนสนุกดีค่ะ เซนเซน่ารัก เสียดายที่แต่งงานแล้ว (หัวเราะ)

คิดยังไงกับขนมของวาเซดะ
กินแล้วอ้วนค่ะ ส่วนใหญ่ก็อร่อยดี อยากให้มีมาม่าตอนกลางวันบ้าง

มีอะไรจะฝากถึงเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เรียนภาษาญี่ปุ่นบ้างไหม
ถ้าไม่พูดสักอาทิตย์ก็จะลืม ถ้าไม่ทำการบ้านก็จะสอบตกค่ะ

 
4 Comments

Posted by on 02/18/2010 in student Talk

 

วันวานยังหวานอยู่

ระยะนี้นิตยสารภาษาญี่ปุ่นที่ตีพิมพ์ในประเทศไทย ได้แนะนำ “เพลินวาน” สถานที่ท่องเที่ยวในหัวหิน ซึ่งเป็นสถานที่สร้างขึ้นโดยมี “สิ่งดีๆของไทยในอดีต” เป็นหัวใจสำคัญ เพียงแค่ดูจากภาพถ่ายหรือเว็บไซต์ก็รู้สึกว่าเป็นสถานที่ที่น่าสนุกมากเลยล่ะครับ สามารถติดตามได้จากเว็บไซต์ดังนี้ครับ http://www.plearnwan.com/


ภายในนิตยสารระบุว่าเจ้าของเพลินวาน เคยไปเยี่ยมชม “พิพิธภัณฑ์ราเมงชินโยโกฮามา” และได้รำลึกถึงบรรยากาศแห่งความหลังเมื่อได้เห็นภาพบ้านเรือนในสมัยโชวะ (ค.ศ. 1925 – ค.ศ. 1989) ตั้งเรียงราย ทั้งนี้ ญี่ปุ่นสมัยอดีตในที่นี้ไม่ได้หมายถึงสมัยโบราณในยุคซามูไรเมื่อ 200 ปีหรือ 300 ปีก่อน แต่หมายถึงเมื่อประมาณ 20-40 ปีก่อน ที่มีการรวบรวมสิ่งที่ได้รับความนิยมของ “ญี่ปุ่นในอดีตเมื่อไม่นานมากนัก” เอาไว้

นอกเหนือจากพิพิธภัณฑ์ราเมงดังรายละเอียดใน(www.raumen.co.jp)ที่กล่าวข้างต้นแล้ว โตเกียวยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง คือภายในห้างสรรพสินค้าDecks ที่โอไดบะ จะมีถนนคนเดินที่มีร้านค้าตึกแถวอยู่ทั้ง 2 ฝั่งเรียกว่า “ไดบะอิจิโจเมงโชเทงกัย-台場一丁目商店街” แบบสมัยโชวะ รวมถึงมีจุดที่รวบรวมภัตราคารเอาไว้ด้วย สามารถติดตามได้จากhttp://www.odaiba-decks.com/index.php?mode=shop&page=list&cat=3#link3

ถ้าจะว่าไปแล้ว เวลาที่ไปสถานที่แบบนี้ คนญี่ปุ่นมักจะพูดว่า “なつかしい” (คิดถึงจัง) คำว่า “なつかしい” เป็นคำศัพท์ที่ใช้เมื่อระลึกถึงอดีตที่ผ่านไปแล้ว เช่นโรงเรียนประถม เพื่อนเก่า รายการโทรทัศน์ที่เคยดูสมัยเด็กๆ แต่จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะแปลเป็นภาษาไทยอย่างไรดี (ใครรู้ช่วยบอกทีนะครับ)* และว่ากันว่าการที่ “อดีตเมื่อไม่นานมากนัก” ได้รับความนิยมก็เป็นเพราะมีเหตุผลบางประการ

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

 
Leave a comment

Posted by on 02/18/2010 in Variety

 

หลักสูตรการจัดการวิกฤติการณ์สำหรับนักศึกษาต่างชาติ

ทุกๆ คนที่จะไปญี่ปุ่นไม่ว่าจะไปศึกษาต่อหรือทำงาน เคยคิดวิตกกังวลว่า “ถ้าเกิดแผ่นดินไหวขึ้นจะทำยังไง” บ้างไหมครับ ตอนนี้มีการแนะนำบทความเรื่อง “หลักสูตรการจัดการวิกฤติการณ์สำหรับนักศึกษาต่างชาติ” ซึ่งตีพิมพ์ในเว็บไซต์ชื่อ Japan Study Support ดังรายละเอียดต่อไปนี้ http://www.jpss.jp/life/crisis/index.html

โดยที่เว็บไซต์ดังกล่าว นอกจากจะมีเรื่องเกี่ยวกับแผ่นดินไหวแล้ว ยังมีการอธิบายวิธีการรับมือเมื่อมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดปัญหาขึ้นระหว่างที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่น เช่นการเจ็บป่วยฉุกเฉิน อย่างเข้าใจง่าย และเนื่องจากมีทั้งภาคภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ ทุกท่านที่จะเดินทางไปญี่ปุ่น อย่าลืมอ่านไปก่อนล่วงหน้ากันด้วยนะครับ

 
Leave a comment

Posted by on 02/16/2010 in Variety

 

สอบวัดระดับแบบใหม่

นับตั้งแต่คราวหน้าเป็นต้นไป การสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นจะกลายเป็นระบบใหม่ ซึ่งจะให้ความสำคัญกับความรู้เกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่นควบคู่ไปกับความสามารถในการนำภาษาญี่ปุ่นไปใช้ในจริง กล่าวคือ เป็นการวัดความรู้ความสามารถทางภาษาไม่ว่าจะเป็นตัวอักษร คำศัพท์ ไวยากรณ์ และความสามารถในทางปฏิบัติผ่านการนำความรู้ทางภาษาดังกล่าวมาใช้ในการสื่อสาร  และจะมีการเพิ่มระดับจากที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน 4 ระดับ คือ ระดับ 1 (1級)ระดับ 2 (2級)ระดับ 3(3級) ระดับ 4(4級)ไปเป็น 5 ระดับ คือ N1 N2 N3 N4 และ N5

ทั้งนี้ N มาจากคำว่า Nihongo (日本語)หรือภาษาญี่ปุ่น อีกทั้งยังสื่อความหมายถึง New (新しい)หรือใหม่อีกด้วย โดยจะมีการจัดการสอบในญี่ปุ่น 2 ครั้ง ในเดือนกรกฏาคมและธันวาคม ซึ่งมีกำหนดการดังนี้

วันที่สอบ
วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฏาคม พ.ศ. 2553

ระยะเวลารับสมัคร
วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม – วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553 (ถือตราประทับไปรษณีย์เป็นสำคัญ)

จัดส่งบัตรเข้าสอบ
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553 (ตามกำหนดการ)

ใบสมัครและเอกสารแนะแนวผู้เข้าสอบมีกำหนดจำหน่ายในราคาชุดละ 500 เยน ณ ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ ตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมเป็นต้นไป

ติดตามรายละเอียดได้ที่ :http://www.jees.or.jp/jlpt/jlpt_guide_2010_1st.html

ถ้าผมรู้รายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่จัดการสอบในไทยเมื่อไหร่จะแจ้งให้ทราบอีกครั้งครับ

 
2 Comments

Posted by on 02/16/2010 in By Khun Shu

 

Sweet Valentines

ขอขอบคุณ คุณมิ้งค์  นักเรียนหลักสูตรวันเสาร์ EM1
สำหรับช็อกโกแลตวันวาเลนไทน์แสนอร่อย ที่นำมาฝากชาววาเซดะ


ช็อกโกแลตก็อร่อย … เจ้าของช็อกโกแลตก็น่าร๊ากกกก


เร่เข้ามาจ๊า … แจก แจก แจก


สุขสันต์วันวาเลนไทน์ทุๆคนนะคะ

 
4 Comments

Posted by on 02/15/2010 in Variety, wasedian's life

 

แนะนำนักเรียน – อ้อม พรสวรรค์ มณีปุระ

สวัสดีค่ะ ชื่อ อ้อม –  พรสวรรค์ มณีปุระค่ะ เป็นนักเรียน Day 4 จบม.ปลายจากโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ จบปริญญาตรีจากคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  มาเรียนที่วาเซดะตั้งแต่ Day 1 เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วค่ะ

ทำไมอ้อมถึงมาเรียนภาษาญี่ปุ่น
ตอนแรกที่มาเรียนเพราะ อยากเรียนรู้ภาษาที่ 3 ค่ะ ที่จริงอ้อมอยากพูดได้ประมาณ 5 ภาษา แต่พอเรียนๆ ไปแล้วชอบ สนุกดี ก็เลยเรียนต่อมาเรื่อยๆ ค่ะ

ประทับใจอะไรในการเรียนที่วาเซดะบ้างเอ่ย
ชอบค่ะ เซนเซสอนทุกทักษะครอบคลุมมาก มีให้ Debate กันด้วย

ฟัง พูด อ่าน เขียน” ทักษะไหนยากที่สุด
พูดยากที่สุดค่ะ เพราะต้องคิดตามให้ทันว่าจะพูดอะไร พูดให้ถูกไวยากรณ์ แล้วต้องคิดว่าคนอื่นจะเข้าใจไหม (หัวเราะ)

สนใจวัฒนธรรมญี่ปุ่นอะไรบ้างไหม
ชอบนักร้องคะ ชอบฮิราอิ เคน

ได้ยินว่าอ้อมได้โควตาไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ อ้อมคาดหวังอะไรจากการไปศึกษาต่อครั้งนี้บ้างคะอ้อมอยากพูดเก่งกว่านี้  แล้วถ้าเป็นไปได้ก็อยากเรียนต่อปริญญาโทที่ญี่ปุ่น ทำงานที่ญี่ปุ่นค่ะ อ้อมอยากเรียนต่อด้านสื่อ และการประชาสัมพันธ์ค่ะ

นอกจากเรื่องเรียนแล้ว อ้อมตั้งใจว่าจะไปทำอะไรที่ญี่ปุ่นบ้างคะ
อยากไปเที่ยวทะเลเทียมที่ญี่ปุ่นค่ะ

อีกไม่นานก็จะไปญี่ปุ่นแล้ว มีอะไรที่กังวลบ้างไหมคะ
กลัวเรียนไม่ไหวค่ะ กลัวสอบ Day 5 ที่ญี่ปุ่นไม่ได้

ในฐานะที่อ้อมเรียนได้ดีมาตลอด แถมยังได้โควตาไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยวาเซดะด้วย มีอะไรอยากแบ่งปันกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เรียนภาษาญี่ปุ่นบ้างคะ
อ้อมชอบทำการบ้านค่ะ ทำได้เร็ว เลยรู้สึกว่าสนุก ในการเรียนภาษาญี่ปุ่น ต้องอย่าไปคิดว่ามันยากอย่ายอมแพ้กลางครัน นอกจากนี้ ต้องตั้งใจเรียน เข้าเรียนทุกวัน อย่าขาดเรียน อย่าคิดว่าอ่านเองแล้วจะรู้เรื่อง เพราะการเรียนในห้องมันส่งผลให้ชั่วโมงบินในการฝึกต่างกัน แล้วก็ต้องไม่ลอกการบ้านเพื่อน เพราะถ้าเราทำเองพอทำผิด เราก็จะจำได้ค่ะ

 
Leave a comment

Posted by on 02/15/2010 in student Talk

 

ลดน้ำหนักแบบกล้วยๆ

พอเข้าเดือนกุมภาพันธ์ กรุงเทพฯ ก็เริ่มร้อนขึ้นอย่างรุนแรงเลยนะครับ ถ้าอากาศเย็นสบายเหมือนเมื่อเดือนธันวาคม หรือเดือนมกราคม ก็คงจะพอมีอารมณ์อยากออกกำลังกาย อย่างพวกวิ่งจ๊อกกิ้งได้นะครับ แต่ถ้าร้อนแบบนี้ ไปออกกำลังกายกลางแจ้งกลับมาก็พาลจะเจ็บป่วยเอาได้ คนญี่ปุ่นที่อยู่ในกรุงเทพฯ จึงมักจะพูดเสมอๆ ครับว่า “อ้วนกว่าตอนที่อยู่ญี่ปุ่นอีก”

ที่ญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองใหญ่ๆ อย่างโตเกียว หรือโอซาก้า ส่วนใหญ่ผู้คนจะเดินทางไปทำงานโดยรถไฟ และเดินจากสถานีรถไฟไปบ้าน หรือจากสถานีรถไฟไปบริษัท นอกจากนี้ยังต้องยืนในรถไฟที่สั่นสะเทือนตอนคนแน่นเป็นระยะเวลานานๆ  เพียงเท่านี้ก็เป็นการออกกำลังกายได้พอสมควรแล้ว

ขณะเดียวกัน ในกรุงเทพฯ มีรถยนต์และรถแท็กซี่เต็มไปหมด รวมถึงอากาศก็ร้อน เดินกลางแจ้งไม่ได้ แถมเบียร์และอาหารไทยก็อร่อย จึงไม่สามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้

อย่างไรก็ดี ที่ญี่ปุ่นมีคำพูดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายนั่นคือ “เงินกับเวลาไม่เกี่ยว มีความอดทนก็พอแล้ว” จึงมีการรับประทานแค่กล้วยกับน้ำเปล่าเป็นอาหารเช้า หรือที่เรียกว่า “ลดน้ำหนักด้วยการกินกล้วยเป็นอาหารเช้า” 「朝バナナダイエット」 และมีเว็บไซต์อย่างเป็นทางการถึง 7 ภาษาเช่น ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน เป็นต้น ดังรายละเอียดต่อไปนี้ http://www.asabanana.net/

เมื่อปีที่แล้ว มีผู้ร่วมรายการโทรทัศน์ ลองใช้วีธีรับประทานกล้วยเป็นอาหารเช้า แล้วผอมลงได้สำเร็จ  ทันทีที่รายการโทรทัศน์นั้นออกอากาศ ก็กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ จนกล้วยขายดีเทน้ำเทท่าในซุปเปอร์มาเก็ตทั่วประเทศญี่ปุ่น

ทั้งนี้ ผลไม้ที่มีการบริโภคมากที่สุดในญี่ปุ่น ก็คือกล้วยนี่แหละครับ กล้วยของไทยทั้ง

ราคาถูกและอร่อย ทุกคนที่ใส่ใจเรื่องน้ำหนัก ลองดูสักครั้งให้ได้นะครับ

http://www.asabanana.net/

 
2 Comments

Posted by on 02/13/2010 in By Khun Shu, Variety

 

ความกดดันของนักเรียน Day Class

ขึ้นชื่อว่าเป็นนักเรียนหลักสูตรกลางวันเร่งรัดของวาเซดะ
แน่นอนว่า นอกจากจะเรียนหนัก เรียนเย๊อะ เรียนทุกวัน การบ้านก็ไม่เว้น
ก็ยังมีการสอบ Conversation
ที่สร้างความสนุกสุขหรรษาให้กับนักเรียนเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ดี เซนเซฝากบอกนักเรียนทุกคนว่า
ความยากลำบากของการเรียนในวันนี้

จะเป็นรากฐานที่ดีสำหรับการเรียนภาษาญี่ปุ่นในระดับที่สูงขึ้นต่อไป

สู้ๆเข้านะ …


รูปสุดท้ายนี่ … กดดันม๊ากกกกกก 

 
4 Comments

Posted by on 02/12/2010 in wasedian's life

 

แก๊งค์ไทยโอบายาชิเขาไปดูซูโม่มากันแหล่ะ (อิจฉาๆ)

พนักงานไทยโอบายาชิ อดีตนักเรียน Day Class
ส่งภาพบรรยากาศการไปชมซูโม่ที่ญี่ปุ่นมาให้ชมกันจ๊า …

สำหรับการแข่งขันซูโม่ในครั้งนี้ ได้ตั๋ว มาจาก อาจารย์ อิเคดะ  โดยจัดการแข่งขันที่สถานีเรียวโกคุ 両国 ในโตเกียว สนามกีฬา ชื่อ 両国国技館เป็นการแข่งขันแบบทัวร์นาเม้นแพ้คัดออก คนชนะก็แข่งต่อรอบต่อไปในวันนั้นเลย

บรรยากาศในการแข่งขันก็ ถ้าใครยังไม่เคยไป คงต้องลองไปดูซักครั้งหนึ่ง เพราะเวลาแข่งกันจริงๆ บางคู่ แค่เพียงแบบกระพริบตา ก็จบการแข่งขันแล้วโดยคู่หนึ่งใช้เวลาแข่งจริงๆ ก็ไม่เกินซัก สิบวินาทีได้

ส่วนวันที่ได้เข้ามาชมนี้ ผลการแข่งขันพลิกล๊อคเป็นครั้งแรก ที่คนญี่ปุ่นได้แชมป์ในรอบปี ชนะ ตัวเต็ง และ 横綱 โยโกะทซึนะได้

” …  พวกผมกะไปดู 横綱 สองคนสู้กัน เป็นประวัติศาสตร์ แต่ เสียดาย ท่าน朝青龍 明徳
(あさしょうりゅう あきのり)โดนไล่ออกซะก่อน
แต่ไม่ว่าใครชนะ หรือ แพ้ ก็ไม่สำคัญครับ กินเบียร์ไปถ่ายรูปไป เม้าท์กันไป ก็ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งแล้วครับ  … “


คุณจุ้ย (… ตั้งแต่ไปอยู่ญี่ปุ่น ก็แลดูใกล้เคียงกับซูโม่นะ)


นี่ไง … Daddy ของคุณจุ้ย


คุณออย กับ คุณดึ๋ง


ติ้ง


ติ้ง  ปิ๊ก  ออย  และดึ๋ง

* ขอบคุณศิษย์เก่าทุกท่านที่ส่งรูป และ เรื่อง มาให้ชมกันนะจ๊ะ

 
2 Comments

Posted by on 02/12/2010 in Life in japan

 

พี่เบิร์ด กับ ภาษาญี่ปุ่น (ภาคจบ)

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ ภาษาญี่ปุ่นที่ออกจากปากพี่เบิร์ด ไม่ว่าจะเป็นการออกเสียงหนักเบา หรือท่วงทำนองในการพูด ล้วนประหนึ่งเป็นเจ้าของภาษา แค่ในระหว่างไม่กี่สัปดาห์ ไม่รู้ว่าไปฝึกฝนมาได้อย่างไรกัน ส่วนพี่เบิร์ดก็คอยถามตลอดตั้งแต่ซ้อมเสร็จไปจนถึงตอนแสดงจริงว่า “บทพูดภาษาญี่ปุ่นของเบิร์ดใช้ได้ไหม”
ผมจึงตอบว่า “ใช้ได้ครับ ว่าแต่ทำยังไงถึงได้พูดภาษาญี่ปุ่นเก่งขนาดนี้ล่ะครับ”

พี่เบิร์ดยิ้มแล้วตอบแบบประหม่าเล็กน้อยว่า
“เบิร์ดฟังเทปที่อัดเสียงให้ แล้วก็ฝึกพูดทุกวันตอนนั่งบนรถน่ะครับ” แค่ฟังเทปก็สามารถเรียนรู้การออกเสียงบทพูดได้จนเกือบสมบูรณ์แบบ ผมทึ่งในประสิทธิภาพการฟังและความจำของพี่เบิร์ดเลยล่ะครับ

โดยทั่วไป การเรียนภาษาญี่ปุ่น มีความจำเป็นที่จะต้องเรียนทั้ง 4 ทักษะคือ “ฟัง พูด อ่าน เขียน” อย่างสมดุล คณาจารย์ชาวญี่ปุ่นทุกท่านของโรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะก็ล้วนมีนโยบายดังกล่าวเป็นพื้นฐาน แต่ถ้าต้องการเรียนรู้เพื่อจำบทในเวลาสั้นๆ หรือเร่งรัดแล้วล่ะก็ ก็คงจะมีแต่วิธีแบบของพี่เบิร์ดนี่ล่ะครับ ก็แน่นอนอยู่แล้วใช่ไหมล่ะครับ ผมคิดว่านักร้องซูเปอร์สตาร์อย่างพี่เบิร์ด ย่อมมีความเป็นมืออาชีพชั้นยอด แม้จะมีเวลาเพียงเล็กน้อยแต่ก็สามารถจำจดบทพูดจำนวนมหาศาลได้ แต่ทว่า…………

เรื่องนี้มี “ของแถม” ครับ

ที่จริงแล้วผมเป็นมาจากจังหวัดฟุกุชิมะ ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ของญี่ปุ่น ก่อนที่จะมาที่โตเกียวเพื่อเรียนที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ ผมอยู่บ้านนอกมาตลอดเลยล่ะครับ ดังนั้น แม้แต่เวลาที่พูดภาษากลางของญี่ปุ่น การออกเสียงหนักเบาหรือท่วงทำนองบางส่วน ก็ยังมีบางครั้งที่มีกลิ่นอายของภาษาถิ่นฟุกุชิมะ ถึงคนอื่นจะไม่เคยบอก แต่ผมก็เพิ่งจะมานึกได้ครั้งแรกก็ตอนที่ฟังพี่เบิร์ดพูดบทภาษาญี่ปุ่นนี่แหละครับ

ก็เพราะพี่เบิร์ดจำบทพูดที่ผมอัดเสียงไว้ได้อย่างแม่นยำ แม้แต่ส่วนปลีกย่อยที่ว่าอีกด้วย ถึงจะคิดว่าในบทประพันธ์ไม่ได้ระบุถึงบ้านเกิดของเรือตรีโกโบริ แต่ถ้ามีคนที่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วพบว่า “ที่จริงแล้วโกโบริเป็นคนอีสานหรอกเหรอ…..” จะทำยังไง

นอกจากนี้ ผมยังได้ยินมาว่ามีโรงภาพยนตร์ของไทยยังมีการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ในรูปแบบการพากย์เสียงด้วยนักพากย์มืออาชีพชาวญี่ปุ่น นอกเหนือจากเวอร์ชั่นพี่เบิร์ดพูดภาษาญี่ปุ่นอีกด้วย

ทุกๆ คนที่เรียนภาษาญี่ปุ่น ถ้าจะลองใช้อุปกรณ์การเรียนแบบที่พี่เบิร์ดใช้เรียนบทพูดภาษาญี่ปุ่นในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็น่าสนใจดีนะครับ

(จบบริบูรณ์)

 
Leave a comment

Posted by on 02/11/2010 in By Khun Shu

 

พี่เบิร์ด กับ ภาษาญี่ปุ่น (ภาค 2)

การที่ได้รับมอบหมายจากแกรมมี่ว่า “อยากให้สอนภาษาญี่ปุ่นให้พี่เบิร์ด”
บอกตามตรง ผมตื่นเต้นมากเลยล่ะครับ ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยมีประสบการณ์สอนภาษาญี่ปุ่น แต่สำหรับผม ผมคิดว่าการได้ร่วมงานกับพี่เบิร์ด เจ้าของเพลง “สบาย สบาย” เพลงไทยเพลงแรกที่ผมจำได้ เป็นโอกาสที่มีค่ามากกว่าสิ่งอื่นใด จึงตอบกลับไปอย่างรวดเร็วว่า “ทำครับ” นอกจากนี้ เนื่องจากภาพยนตร์มีความเกี่ยวพันอย่างยิ่งกับคนไทยและคนญี่ปุ่น ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ในประเทศไทย ซึ่งอาจส่งผลให้รอยแผลของทั้งสองประเทศฝังรากลึกลงไปอีก ผมจึงมีความคิดว่าอยากจะทำประโยชน์บ้างแม้เพียงเล็กน้อย

ในวันที่ได้พบกับพี่เบิร์ดครั้งแรก ผมยังจำได้ดีถึงวันนี้ ตอนที่ผมเข้าห้องประชุมของบริษัทภาพยนตร์แกรมมี่ ผมตื่นเต้นจนเกร็งไปหมด เห็นพี่เบิร์ดนั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟา

ตอนแรก หลังจากที่แนะนำตัวเสร็จแล้ว ผมถูกถามหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับญี่ปุ่น และเรื่องเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่จำไม่ได้ว่าตอบว่าอะไร คิดว่าคงเป็นเพราะดีใจจนสติล่องลอยไปแล้วนั่นเอง

ผมฟังบทที่อาจารย์ผุสดี นาวาวิจิตร นักแปลและล่ามที่มีชื่อเสียงเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่น และอ่านบทที่ถอดเสียงเป็นตัวอักษรเพื่อให้เข้าใจง่ายทีละคำ แล้วให้พี่เบิร์ดอ่านตาม ซ้ำไปซ้ำมา  ทั้งๆที่พี่เบิร์ดบอกว่า “ภาษาญี่ปุ่นนี่ยากจังเลยนะ” แต่สีหน้าก็แสดงความเอาจริงเอาจัง ตั้งใจมากครับ

หลังจากที่ซ้อมบทตามวิธีการดังกล่าว 2-3 รอบ เจ้าหน้าที่จากแกรมมี่จึงบอกว่า “คราวหน้า ช่วยอัดเสียงบทแบบสเตอริโอ มาได้ไหม เพราะพี่เบิร์ดยุ่งมาก ไม่มีเวลาเรียนภาษาญี่ปุ่นหรอก เพราะสามารถจำด้วยการฟังบทที่อัดแล้วระหว่างทำงานทางวอล์คแมนแทนได้” ผมจึงต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการอัดเสียงบทพูดทั้งหมดของเรือตรีโกโบริ ด้วยอุปกรณ์สเตอริโอที่หรูหราที่นักร้องมืออาชีพใช้บันทึกเสียง เท่านี้ก็เป็นประสบการณ์ที่สนุกสนานแล้ว แต่พอคิดว่าช่วงนี้คงจะไม่ได้เจอพี่เบิร์ด ก็รู้สึกเหงานิดๆ เหมือนกันครับ

ผมได้เจอพี่เบิร์ดอีกครั้งคือประมาณ 1 เดือนหลังจากนั้นครับ เริ่มมีการถ่ายทำแล้ว หน้าที่ของผมคือต้องฟังบทพูดภาษาญี่ปุ่นของพี่เบิร์ดตอนเข้าฉาก และดูว่าสำเนียงและการลงเสียงหนักเบามีอะไรที่แปลก หรือผิดปกติหรือไม่ อย่างไร ภาษาญี่ปุ่นที่ออกจากปากของพี่เบิร์ด ซึ่งไม่ได้เจอกันมาระยะหนึ่ง น่าตกใจจริงๆ ครับ

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

 
5 Comments

Posted by on 02/09/2010 in By Khun Shu

 

พี่เบิร์ด กับ ภาษาญี่ปุ่น


เมื่อราวๆ  15 ปีที่แล้ว
ผมได้เป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากมหาวิทยาลัยวาเซดะมาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเนื่องในโอกาสการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ครบ 50 ปีพอดี ทางบริษัทแกรมมี่ประเทศไทยได้ร่วมมือกับญี่ปุ่นอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “คู่กรรม” ขึ้น

“คู่กรรม” บทประพันธ์ของทมยันตรีนั้นแน่นอนว่าคนไทยทุกคนคงรู้จักกันดี อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักในญี่ปุ่นในนาม “メナムの残照” (แสงอาทิตย์อัสดงที่ฝั่งน้ำ) ถึงแม้ว่าจะเคยถูกสร้างเป็นละครและภาพยนตร์มาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้เบิร์ด ธงชัย แมคอินไตย์ ได้มาแสดงนำในบทโกโบริ (小堀)นายทหารชั้นสัญญาบัตรยศเรือตรีของกองทัพญี่ปุ่น ภายใต้การกำกับของคุณยุทธา มุกดาสนิท บรมครูทางศิลปะการแสดงของไทย ดังนั้นหลังจากที่ได้มีการประกาศอำนวยการสร้าง จึงกลายเป็นหัวข้อสนทนาอย่างกว้างขวาง

ส่วนผมก็ได้ยินมาจากคนรู้จักที่ทำงานในบริษัทหนังสือพิมพ์มาว่า
เนื่องจากการถ่ายทำส่วนใหญ่มีขึ้นในไทย
จึงมีการประกาศรับสมัครนักแสดงชาวญี่ปุ่นในประเทศไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข่าวการหาผู้ที่จะมารับบทเพื่อนของโกโบริ
ซึ่งเป็นนายแพทย์ชื่อโยชิ (หมอโยชิ)

ในตอนนั้นผมคิดเล่นๆ ว่า
“อาจจะได้เจอพี่เบิร์ดก็ได้นะ”

ก็เลยลองติดต่อไปที่บริษัทแกรมมี่ผ่านทางคนรู้จัก
และก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า
“อยากให้มาที่บริษัทเพื่อทดสอบการแสดง”

แน่นอนครับ ว่าผมไม่เคยมีประสบการณ์ทางการแสดงมาก่อน
จึงไปโดยที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย ผู้ช่วยผู้กำกับชี้แนะว่า
ผมพูดตามบทที่จำมา หลายวันต่อมาก็มีการติดต่อกลับพร้อมให้เหตุผลว่า …

“น่าเสียดายที่คุณไม่ได้รับเลือกให้รับบทประกบกับพี่เบิร์ด
เพราะว่าคุณเพิ่งจะอายุ 23 ปี ยังเด็กเกินไปสำหรับบทหมอโยชิ”

ที่จริงแล้ว ผมเข้าใจดีว่าเหตุผลคงเป็นเพราะผมแสดงได้ไม่ดีเลย
จึงคิดว่า “เป็นวิธีปฏิเสธที่ดีนะ”
แต่ในขณะเดียวกัน ผมกลับได้รับมอบหมายหน้าที่ที่น่าตกใจ คือ …

“… เพราะพี่เบิร์ดจะต้องรับบทเป็นคนญี่ปุ่น
และต้องพูดบทเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด
เลยอยากให้คุณเป็นครูสอนภาษาญี่ปุ่นให้พี่เบิร์ด …”

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

 
4 Comments

Posted by on 02/08/2010 in Variety

 

แนะนำอาจารย์ใหม่ : Anna Kobayashi

ดิฉันชื่อโคบายาชิ  อันนะค่ะ  มาจากจังหวัดคานากะวะ มาอยู่เมืองไทยได้ประมาณ 2 ปีแล้วค่ะ ก่อนมาเมืองไทยดิฉันเป็นพนักงานบริษัทที่ญี่ปุ่นค่ะ

ด้วยความที่อยากทำงานสอนภาษาญี่ปุ่น ดิฉันจึงลาออกจากบริษัท หลังจากที่เรียนภาษาญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว ตอนนั้นดิฉันคิดว่า “จะไปที่ไหนดีนะ” เมืองไทยที่เคยมาบ่อยๆ อาหารก็อร่อย ผู้คนก็ร่าเริงใจดี ดิฉันจึงตัดสินใจว่า “เอาล่ะ ต้องเป็นที่นี่เท่านั้นแหละ” แล้วก็เดินทางมาเมืองไทยค่ะ

ตอนนี้ ดิฉันพักอยู่แถวอารีย์ งานอดิเรกของดิฉันคือดำน้ำค่ะ วันหยุดก็จะอยู่ทะเลเป็นส่วนใหญ่ คิดว่าถ้าแก่ตัวลง ก็อยากจะอาศัยอยู่ใกล้ๆ ทะเลค่ะ

Q : การใช้ชีวิตในประเทศไทยมีความประทับใจอะไรบ้างไหมคะ

ตอนที่เป็นพนักงานบริษัทและได้มาดูงานที่เมืองไทย มีคนขอให้ดิฉัน “เป็นแฟนคนที่สาม” โดยให้ของขวัญที่ทำเองแก่ดิฉันทุกวัน

และเพราะดิฉันไปทะเลบ่อยทำให้ผิวคล้ำ เลยมักมีคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนไทย ด้วยการพูดว่า “ก็เพราะเหมือนคนไทยนี่นา” แล้วก็หัวเราะ แถมยังมีคนลดราคาให้บ่อยๆ ด้วยค่ะ

นอกจากนี้ความเอื้อเฟื้อจริงใจและความอบอุ่นที่คนไทยมีให้แก่กัน เป็นสิ่งที่ไม่สามารถซึมซับได้ในญี่ปุ่น เป็นความรู้สึกที่อบอุ่นมากค่ะ

Q :ในฐานะที่เป็นชาวญี่ปุ่นมีร้านอาหารญี่ปุนในกรุงเทพฯที่อยากจะแนะนำบ้างไหมคะ

ถ้าเป็นอาหารญี่ปุ่น คิดว่าอาหารที่ดิฉันทำเองอร่อยที่สุดค่ะ (ยิ้ม) ในกรุงเทพฯ มีร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่เยอะนะคะ แต่ดิฉันขอแนะนำร้านโอโตยะ (大戸屋) ที่ทุกคนรู้จักกันดี เพราะราคาถูก แล้วก็อร่อยค่ะ

Q : คำแนะนำสำหรับคนที่อยากเก่งภาษาญี่ปุ่น

คิดว่าน่าจะพูดสนทนาบ่อยๆนะคะ แล้วก็ฟังบ่อยๆ อะไรก็ได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นเพลงหรือละคร คิดว่าถ้าได้ฟังภาษาญี่ปุ่นมากๆ ต่างก็ดีทั้งนั้นค่ะ  แม้ว่าตอนแรกจะยังไม่รู้ความหมาย แต่ก็จะค่อยๆ เข้าใจคำศัพท์เพิ่มมากขึ้นทีละนิด และจะได้เคยชินกับความเร็วในการพูด และวิธีการใช้คำศัพท์ของคนญี่ปุ่นค่ะ คิดว่าจะช่วยให้ทุกคนเก่งภาษาญี่ปุ่นมากขึ้นนะคะ

Q : ถ้ามีโอกาส เซนเซอยากไปเที่ยวที่ไหนในเมืองไทย เพราะอะไรคะ

ภูเก็ตค่ะ ทั้งๆ ที่อยู่เมืองไทยมาตั้ง 2 ปี แต่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวเลยค่ะ ดิฉันอยากไปเที่ยวภูเก็ตมาตลอดเลยนะคะ แต่ไม่มีโอกาสค่ะ

และเพราะดิฉันชอบดำน้ำ เลยอยากจะไปดำน้ำที่เกาะสิมิลันค่ะ นอกจากนี้ เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าในแต่ละวัน ก็อยากจะลองไปแช่น้ำพุร้อนที่กาญจนบุรีดูเหมือนกันค่ะ

 
7 Comments

Posted by on 02/06/2010 in Sensei Society

 

Tags:

แนะนำอาจารย์ใหม่ : Tanaka Ruiko

วาเซดะขอแนะนำอาจารย์ท่านใหม่ค่ะ

อาจารย์ทานากะ รุยโกะค่ะ เดินทางมาจากฟุกุโอกะเมื่อปีที่แล้ว
และได้เริ่มงานสอนภาษาญี่ปุ่นที่วาเซดะตั้งแต่เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2552 ที่ผ่านมา

Q : การใช้ชีวิตในประเทศไทยมีความประทับใจอะไรบ้างคะ
อาหารไทยอร่อยมากค่ะ

Q : ในฐานะที่เป็นชาวญี่ปุ่นมีร้านอาหารญี่ปุนในกรุงเทพฯ
ที่อยากจะแนะนำบ้างไหมคะ

คิดว่าน่าจะเป็นร้านขายทงคัตสึที่ชื่อระคุ(楽)นะคะ เนื้อหมูนุ่ม อร่อยมากค่ะ

Q :เซนเซช่วยให้คำแนะนำแก่คนที่อยากเก่งภาษาญี่ปุ่นหน่อยได้ไหมคะ
พยายามใช้ภาษาญี่ปุ่นบ่อยๆค่ะ เพราะคำศัพท์ที่จำได้แล้วหากไม่ได้ใช้ก็จะลืม กรุณาพูดคุยกับคนญี่ปุ่นที่อยู่ใกล้ตัวนะคะ

Q : ถ้ามีโอกาส เซนเซอยากไปเที่ยวที่ไหนในเมืองไทย เพราะอะไรคะ
อยากไปปั่นจักรยานชมมรดกโลกที่สุโขทัยค่ะ แล้วก็อยากไปดำน้ำในทะเลสวยๆ ที่เกาะพีพีค่ะ

 
2 Comments

Posted by on 02/05/2010 in wasedian's life

 

ชาวไทยโอบายาชิกลับมาตุภูมิ (และแวะมาเยี่ยมโรงเรียน)

วาเซดะต้อนรับศิษย์เก่า  พนักงานไทยโอบายาชิ คุณเฉียบ คุณหยอย  คุณโจ้ และ คุณแก้ว ทั้ง 4 ท่าน เคยเรียนหลักสูตรกลางวันเร่งรัด Day Class  ก่อนเดินทางไปฝึกงาน ณ ประเทศญี่ปุ่น เป็นระยะเวลา 1 ปีครึ่ง

ณ บัดนี้ ทั้ง 4 ชีวิตได้เดินทางกลับประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย  วันนี้กลับมาเยี่ยมโรงเรียน กราบสวัสดีอาจารย์ และบอกเล่าประสบการณ์ชีวิตการทำงานในประเทศญี่ปุ่น

เราถ่ายวีดีโอคลิปของทั้ง 4 ท่านเอาไว้ด้วยล่ะ
ขอเชิญรับชมค่ะ

 
5 Comments

Posted by on 02/04/2010 in Wasedian

 

ศิษย์เก่าเยี่ยมโรงเรียน

เรื่องนี้อาจจะเก่าไปหน่อยนะครับ แต่เมื่อตอนวันหยุดปีใหม่ที่ผ่านมา นักเรียนเก่าของวาเซดะที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่น ได้กลับมาเมืองไทย และรวมกลุ่มกันมาเยี่ยมโรงเรียน จากที่ไม่ได้พบกันมานาน พอได้เห็นว่านักเรียนมีท่าทางสุขภาพแข็งแรง ผมก็ดีใจมากเลยล่ะครับ

หลังจากที่ “เอสคุง”* จบการศึกษาจากหลักสูตรกลางวันเร่งรัด ก็ได้ไปเรียนต่อระดับปริญญาโทที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว (Tokyo Institute of Technology) ในฐานะนักเรียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่น เมื่อ 3 ปีที่แล้ว และเมื่อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทแล้ว เอสคุงได้เข้าทำงานที่บริษัทผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ในโตเกียว ซึ่งต้องทำการศึกษาวิจัยในโรงงานทุกวัน

นอกจากนี้ “ทีคุง”** นักเรียนเก่าจบการศึกษาจากหลักสูตรกลางวันเร่งรัด ไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และไปเรียนต่อระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยโอซาก้า ได้พาเพื่อนชาวญี่ปุ่นมาเยี่ยมโรงเรียนด้วย โดยทีคุงนั้น เรียนจบหลักสูตรปริญญาโทสาขาวิศวกรรมศาสตร์แล้ว ปัจจุบันกำลังลงทะเบียนเรียนต่อหลักสูตรปริญญาเอก ถ้าหากสามารถได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตได้ก็คงจะดีนะครับ

นักเรียนเก่าทุกคนก็เหมือนกันนะครับ กรุณามาเยี่ยมอาจารย์และเจ้าหน้าที่ที่โรงเรียนบ้าง เรากำลังรอคอยรูปถ่ายและอีเมลแจ้งข่าวคราวจากทุกคนอยู่นะครับ (จะใช้ลงในบล็อกนี้ครับ)

*,** ชื่อนักเรียนในที่นี้ เป็นตัวอักษรย่อนะ

 
1 Comment

Posted by on 02/03/2010 in Wasedian

 

“เมืองที่น่าดึงดูดใจที่สุดในโลก : เหตุผล 50 ประการที่โตเกียวเป็นอันดับ 1 ”

“CNNGo”หรือเว็บไซต์ CNN ของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศ “เมืองที่น่าดึงดูดใจที่สุดในโลก : เหตุผล 50 ประการที่โตเกียวเป็นอันดับ 1 ” และกำลังกลายมาเป็นหัวข้อสนทนาอยู่ในขณะนี้

“CNNGo”เป็นสำนักงานแพร่ภาพกระจายเสียงข่าวเฉพาะด้านของสหรัฐฯ ที่ CNN จัดตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นเว็บไซต์เผยแพร่ข้อมูลการท่องเที่ยวเอเชียโดยเฉพาะ โดยเมื่อปลายปีที่แล้ว “CNNGo” ได้จัดทำบทความพิเศษเรื่อง “เมืองที่น่าดึงดูดใจที่สุดในโลก : เหตุผล 50 ประการที่โตเกียวเป็นอันดับ 1 ”  ซึ่ง “เหตุผล 50 ประการ” ที่ “CNNGo” หยิบยกมานำเสนอ มีตัวอย่างดังต่อไปนี้

–          ระบบคมนาคมที่ยอดเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่งของโลก

–          มีภัตตคารมิชเชอลินที่ใหญ่ที่สุดในโลก

–          มีตลาดกลางค้าส่งซึคิจิ

–          มีแหล่งเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าไอที อากิฮาบาระ

–          มีภูเขาทาคาโอะ ภูเขาในกรุงโตเกียว

–          มีพิพิธภัณฑ์เอโดะ-โตเกียว

นอกจากนี้ ในแต่ละหัวข้อของคำบรรยายยังเป็นไปอย่างดีเยี่ยม เช่น “พระราชวังที่ประทับขององค์จักรพรรดิ มีเนื้อที่ 3.5 ตารางกิโลเมตร ซึ่งครั้งหนึ่งเคยประสบกับมรสุมข่าวลือว่า มูลค่าอสังหาริมทรัพย์ของพระราชวัง มีค่าเทียบเท่ากับมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ในมลรัฐแคลิฟอเนียร์ทั้งหมดรวมกัน” หรือในกรณีของ “สี่แยกที่เต็มไปด้วยฝูงชนรีบเร่งแห่งชิบุย่า”

มีคำบรรยายว่า “ทันทีที่สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ผู้คน ต่างคนต่างเดินพุ่งตรงไปยังที่หมายของตนเอง และนั่นคือความหมายของสี่แยกที่เต็มไปด้วยผู้คนรีบเร่งแห่งชิบุย่า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงของมหานครอย่างโตเกียวได้อย่างชัดเจนมากกว่าภาพสถานที่ทางประวัติศาสตร์” เป็นต้น

วันหยุดสงกรานต์คราวนี้ คนไหนที่จะไปญี่ปุ่น
กรุณาดูข้อมูลประกอบที่เว็บไซต์ด้านล่างนี้ให้ได้นะครับ

http://www.cnngo.com/tokyo/none/worlds-greatest-city-50-reasons-why-tokyo-no-1-903662

 
Leave a comment

Posted by on 02/02/2010 in Variety