ภาพจาก http://www.olrepublic.com/career_detail.asp?id=53
งานที่ใช้ภาษาญี่ปุ่นคืออะไร
1) ประเภทของงานและประเภทของอุตสาหกรรม
ประเภทของอุตสาหรรม : ส่วนใหญ่เป็นอุตหสาหกรรมการผลิต (โรงงาน) ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
ประเภทของงาน : ผู้ช่วยผู้มาประจำการจากต่างประเทศ เลขานุการ ผู้ประสานงาน ฝ่ายขาย ฝ่ายจัดซื้อ บริการลูกค้า ผู้แปลภาษา ล่าม
2) ปัจจัยในการเลือกบริษัท
คำตอบที่ตอบบ่อย : มีชื่อเสียง เงินเดือนสูง อยู่ใกล้บ้านไปกลับสะดวก มีสวัสดิการพรั่งพร้อม นอกจากนี้ อยากให้คำนึงถึงประเด็น “โอกาสในการเติบโต” (สามารถจินตนาการถึงอนาคตที่ดีขึ้นของตนเองในอีก 3 ปี หรือ 5 ปีข้างหน้าได้หรือไม่ อย่างไร)
คำที่ห้ามพูดขณะสัมภาษณ์งาน : “เพราะอยากจะเก่งภาษาญี่ปุ่น” (เนื่องจาก
คนสัมภาษณ์จะคิดว่า คนคนนี้ถ้าเก่งภาษาญี่ปุ่นเมื่อไหร่ ก็คงจะลาออกทันทีเลยสินะ)
คนที่ตั้งใจจะทำงานที่เดิมติดต่อกันเกิน 3 ปี กรุณาเลือกบริษัทให้ดี เพราะแม้แต่คนรักที่คบกันมาประมาณ 3 ปี ก็จะรู้ถึงข้อดีข้อเสียโดยทั่วไปของอีกฝ่าย และรู้ว่าอีกฝ่ายเหมาะสมกับตนในฐานะคู่สมรสหรือไม่ การทำงานก็เช่นเดียวกัน เนื่องจากพอทำงานมาได้ 3 ปี โดยทั่วไปก็จะได้รับประสบการณ์ทั้งส่วนดี และไม่ดี อันจะเป็นประโยชน์ในกรณีที่ย้ายไปทำงานในบริษัทอื่นต่อไป นอกจากนี้ หากในเอกสารประวัติระบุว่าเปลี่ยนสถานที่ทำงานในเวลาไม่กี่เดือน ก็อาจถูกพิจารณาว่า “เพราะเป็นคนไม่ค่อยมีความอดทน ท่าทางจะลาออกจากงานเร็วนะ”
3) วิธีการทำงานของคนญี่ปุ่นกับคนไทยมีความแตกต่างกันขนาดไหน?
สิ่งที่คนไทยคิดว่าแปลกเกี่ยวกับคนญี่ปุ่น
“ทำไมถึงต้องเอาแต่ประชุมกันตลอดเลยนะ ?” ที่เป็นเช่นนี้เพราะคนญี่ปุ่นชอบการประชุมครับ บางครั้งเอาแต่ประชุมกันทั้งวันก็ยังได้ ที่ญี่ปุ่นนิยมใช้ระบบวิธีการส่งเสียงสะท้อนที่มีต่อการบริหาร เรียกว่า Bottom Up โดยจะมีการรับฟังความคิดเห็นแม้แต่จากพนักงานที่อยู่ในตำแหน่งต่ำสุดอย่างเท่าเทียม ในขณะที่เมืองไทยส่วนใหญ่จะใช้ระบบ Top Down ในการทำงานจึงอาจจะรู้สึกลำบากอยู่บ้าง
“ทำไมคนญี่ปุ่นต้องคอยเคร่งเครียดกับความผิดพลาดเล็กน้อยถึงขนาดนั้น?”ดังสุภาษิตที่บอกว่าถ้าเห็นแมลงสาบ 1 ตัว ก็จะคิดว่ามีแมลงสาบซ่อนอยู่ในบ้าน 1,000 ตัว กล่าวคือ ถ้ามองเห็นความผิดพลาดเล็ก ๆน้อย ๆ อย่างหนึ่ง ต้องสงสัยไว้ได้เลยว่า ที่จริงแล้วมีความผิดพลาดในการทำงานซ่อนอยู่อีกมากมายหลายเท่า และหากไม่ชี้แจงถึงสาเหตุของความผิดพลาดที่ถูกพบให้กระจ่าง เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 2 ก็จะนำมาซึ่งความรู้สึกกังวลว่า ความผิดพลาดนี้อาจจะก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาในอนาคต
“ใช่” หมายถึง “ไม่ใช่”/ “ไม่ใช่” หมายถึง “ใช่” ? (「はい」は「いいえ」、「いいえ」は「はい」?) ประเด็นดังกล่าวเป็นความยากในการแปลภาษาญี่ปุ่น ทั้งนี้ คำว่า “はい” ไม่ได้หมายถึงYes เสมอไป แต่อาจมีความหมายว่า “กำลังตั้งใจฟังอยู่” ก็ได้ ในทางกลับกัน แม้จะพูดว่า “いいえ” แต่ในบางกรณีก็ไม่ได้มีหมายความเป็นการปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง เหมือนคำว่า No ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องคิดตาม และเข้าใจบริบทแวดล้อม รวมถึงพื้นเพของเรื่อง
“ ไม่เข้ารับการอบรมในฐานะผู้ใหญ่?” คนญี่ปุ่นนั้นแม้ว่าจะอยู่ในตำแหน่งประธานบริษัท ผู้จัดการโรงงาน หรือหัวหน้าฝ่าย ที่บริษัทลูกในเมืองไทย แต่ก็มีหลายกรณีที่เมื่ออยู่ที่ญี่ปุ่นคนเหล่านั้นได้ทำงานแค่ในตำแหน่งหัวหน้าแผนก หรือตำแหน่งที่ต่ำกว่า รวมถึงมีประสบการณ์ในการบริหารดูแลลูกน้องเพียงไม่กี่คนเท่านั้น กล่าวคือมีคนจำนวนมากที่อยู่ในฐานะ “ผู้ใหญ่” ซึ่งต้องควบคุมดูแลพนักงานหลายร้อย หลายพันคนเป็นครั้งแรก ส่งผลให้ต้องทำงานทั้งๆ ที่รู้สึกยากลำบาก ยิ่งคนที่ใจร้อน และมีการพูดการกระทำอันเป็นภาพลักษณ์ของประธานบริษัท ห่างไกลกับที่คนไทยคิดเอาไว้ด้วยแล้ว กรุณาให้การดูแลสักระยะจนกว่าเขาจะปรับตัวได้ด้วยนะครับ
ทั้งคนไทยและคนญี่ปุ่นต่างก็ไม่ได้มีค่านิยมในการทำงานแตกต่างกันมากขนาดนั้น โดยคนญี่ปุ่นชอบคนที่ “ขยัน” และ “มีความพยายาม” มากกว่า “คนฉลาด” คนญี่ปุ่นที่ผมรู้จักทุกคนบอกว่า “คนไทยเป็นคนขยันทำงาน” หรือไม่ก็ “ขยันยิ่งกว่าคนญี่ปุ่นเสียอีก” ผมคิดว่าไม่ใช่เพียงความรู้ หรือประสบการณ์ และประสิทธิภาพในการทำงานให้สำเร็จลุล่วงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการแสดงความพยายาม การเสียหยาดเหงื่อ หยดน้ำตาในระหว่างการทำงาน ที่จะทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจกันและกันได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น จนส่งผลให้สามารถสร้างผลงานที่ดีได้สำเร็จ
จริงหรือไม่ที่ว่าทรัพยากรบุคคลที่สื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ชอบเปลี่ยนงาน?
ถึงแม้ว่าจะได้ทำงานในบริษัทที่มีชื่อเสียง และเงินเดือนสูง แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่ลาออกจากงานภายใน 2 ปี อย่างเหนือความคาดหมาย เป็นเรื่องที่แปลกมากสำหรับคนญี่ปุ่น อย่างที่โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ ก็มีหลายคนที่ลาออกจากบริษัทญี่ปุ่นที่ใหญ่โต เป็นที่รู้จักของทุกคน โดยมีเหตุผลว่า
“ลาออกจากบริษัทเพื่อมาเรียนรู้”
เมื่อลองฟังดูแล้ว ส่วนใหญ่จะบอกเหตุผลในการลาออกต่อบริษัทว่า
“คนในครอบครัวเจ็บป่วย”
“(อยาก) เรียนต่อปริญญาโท”
หรือ “อยู่ไกลบ้านมาทำงานลำบาก”
แต่เหตุผลจริงๆ แล้วคือ
“ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในองค์กรไม่ดี”
“เบื่อที่ต้องทำสิ่งเดิมๆ ซ้ำซาก”
หรือ “ไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้” เป็นต้น
ถึงแม้ว่าการลาออกจะไม่ใช่สิ่งไม่ดี แต่สิ่งที่ต้องระมัดระวังเมื่อลาออกคือ
“นกออกบินไม่ทิ้งรอยขุ่น”หมายถึง “ทิ้งไว้แต่สิ่งดีๆ” นั่นเอง เนื่องจากสังคมแคบ การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในบริษัทเก่าเอาไว้ ก็อาจจะเป็นประโยชน์ในอนาคตก็ได้นะครับ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)