RSS

Monthly Archives: June 2010

ขอโทษนะครับผู้จัดการทีมโอกาดะ

คืนนี้ ตัวแทนทีมชาติญี่ปุ่น จะลงแข่งฟุตบอลโลกรอบก่อนรองชนะเลิศกับทีมชาติปารากวัยใช่ไหมล่ะครับ
ก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น มีการคาดการณ์กันต่างๆ นานาอย่างหนาหูว่า “ญี่ปุ่นคงจะไม่ชนะเลยแม้แต่นัดเดียว”
อีกทั้งยังตั้งความหวังไว้กับผู้จัดการทีมโอกาดะไว้ต่ำมากอีกด้วย อย่างไรก็ดี ในการแข่งขันรอบคัดเลือกที่ญี่ปุ่น
สามารถเอาชนะทีมชาติแคมารูน และทีมชาติเดนมาร์ก จนทำให้ทีมชาติญี่ปุ่นสามารถเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ
กลับส่งผลให้โอกาดะซึ่งเป็นผู้ควบคุมทีมได้รับเสียงชื่นชมอย่างสูง

ดังนั้น จึงเกิดมีข่าวแพร่หลายในโลกอินเตอร์เน็ตว่า
“ประชาชนชาวญี่ปุ่นควรจะขอโทษผู้จัดการทีมโอกาดะ (เขามีชื่อเล่นว่า โอคะจัง ครับ) ไม่ใช่หรอกเหรอ”
ครับ
ซึ่งสามารถกล่าวขอโทษโดยทางทวิตเตอร์ได้ อาทิ “#okachan_sorry”
นอกจากนี้ยังมีแม้แต่การสร้างภาพโดยใช้ตัวอักษรวาดรูป หรือ “ASCII Art”
ในเว็บบอร์ดที่ชื่อ ni channeru อีกด้วย ตอนนี้ดูเหมือนว่าคำว่า “ขอโทษนะโอคะจัง”
กำลังกลายเป็นคำที่ฮิตในญี่ปุ่นไปแล้วล่ะครับ

วันนี้ อยากให้ทีมชาติญี่ปุ่นชนะทีมชาติปารากวัยให้ได้เลยนะครับ

 
6 Comments

Posted by on 06/29/2010 in By Khun Shu, Life in japan, News, Variety

 

วาเซดะจัด Workshop กิจกรรมวัฒนธรรมญี่ปุ่น ในงาน Saha Group Fair งานนี้ฟรีจ้า

 

Day 3 の川柳 แต่งกลอนเซนริว

กลอนเซนริว คือ กลอนของญี่ปุ่นอย่างหนึ่ง พัฒนามาจากกลองไฮคุ โครงสร้างในการแต่งกลอนเซนริว
คือจะใช้คำ วรรคละ 5 คำ 7 คำ และ 5 คำ เนื้อหา อาจจะเป็นเรื่องธรรมชาติ เรื่องใกล้ๆตัว หรือ เรื่องราวเกี่ยวกับความรัก

บล็อกวันนี้ ขอเสนอ บทกลอนเซนริว สร้างสรรค์โดยนักเรียนหลักสูตรกลางวันเร่งรัด Day Class 3


1.あ。どうして 惚れやすいでも、言いにくい。(作者 - ギップ)

เฮ้อ … เหตุใดกันนะ ยามตกหลุมรักช่างง่ายดาย ไยเอ่ยกลับยากเย็น

2.愛するのは 君の温もり それだけだ。(作者 - オート)
อันความรักนั้นคือ  อุ่นไอที่ฉันได้จากเธอ  แค่เพียงเท่านั้นเอง

3.幸せか 悲しい時は 手つないで。(作者 - ネーン)
แม้ว่าสุขสมใจ หรือเผชิญทุกข์โศกหมองไหม้ จะไม่ปล่อยมือกัน

4.愛は夢 目が覚めた時 悪くなった。(作者 - ジュン)
รักเปรียบประหนึ่งฝัน แม้นเมื่อใดพลันตื่นลืมตา กลับกลายก่อทุกข์ตรม

5.愛は何 分からないけど 愛している。(作者 - ピーチ)
ถึงยังไม่เข้าใจ ว่าเจ้าความรักเป็นฉันท์ใด แต่ใจก็มีรัก

6.貴方だけ 心がほしい 愛している。(作者 - エー)
เพียงหัวใจของเธอ ผู้เป็นสุดที่รักเท่านั้น ที่ฉันเฝ้าใฝ่ปอง

7.ほしい物 あなたがいれば 幸せだ。(作者 - リー)
สิ่งใดที่ต้องการ ขอเพียงแค่ฉันมีเธออยู่ ดวงใจก็เปี่ยมสุข

8.君のこと いつでも思う 幸せだ。(作者 - プム)
ไม่ว่าจะคิดถึง เรื่องของเธอในเวลาไหน หัวใจก็มีสุข

9.貴方いない 世界が暗い 寂しいよ。(作者 - バース)
เมื่อฉันไม่มีเธอ โลกทั้งใบกลับกลายมืดมน เงียบเหงาจนครวญใจ

10.チョコレート 君にもらった 夢だろう。(作者 - ヌン)
นี่ใช่ฝันรึเปล่า ช็อคโกแลตจากเธอคนนั้น มอบแด่ฉันหรอกเหรอ

11.離れても いつも心は そばにある。(作者 - ヌー)
แม้กายอยู่ห่างไกล แต่ฉันมีเธออยู่ใกล้ๆ ในใจทุกเวลา

12.可愛い子 一緒に住んで 幸せだ。(作者 - ダーム)
ได้อยู่เคียงชิดใกล้ คนน่ารักและน่าหลงใหล ก็สุขใจเหลือเกิน

13.君のこと 消したいけれど 消せないわ。(作者 - リリー)
เรื่องราวของเธอนั้น แม้อยากลบมันสักแค่ไหน กลับไม่เคยรางเลือน

14.愛してる 彼女に言った 気持ち行く。(作者 - トム)
เพียงแค่คำว่ารัก ที่ฉันได้บอกเธอออกไป แทนใจถึงใจเธอ

*หมายเหตุ ผู้แปลพยายามแปลให้ได้ตามโครงสร้างของกลอนเซนริวคือวรรคละ 5 คำ 7 คำ
และ 5 คำ จึงอาจมีการดัดแปลงเนื้อหาบ้างเล็กน้อยแต่ยังคงรักษาใจความสำคัญเอาไว้

 
3 Comments

Posted by on 06/24/2010 in Variety

 

สรุปข้อมูลการศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยวาเซดะ

สวัสดีครับ วันนี้ผมคิดว่าอยากจะแนะนำข้อมูลที่เกี่ยวกับการศึกษาต่อ
ณ มหาวิทยาลัยวาเซดะที่นำเสนอลงในหน้าเว็บไซต์ดังต่อไปนี้ครับ

1. แนะนำมหาวิทยาลัยโดยรวม

ภาษาอังกฤษ ติดตามได้ที่ http://www.waseda.jp/top/index-e.html

ภาษาไทย     ติดตามได้ที่ http://www.waseda.ac.th/wu_thai/

2. ข้อมูลข้อสอบเข้าโปรแกรมภาษาอังกฤษ

ภาษาอังกฤษ ติดตามได้ที่ http://www.waseda.jp/cjl/html/e_study.index.html

3. หลักสูตรเฉพาะทางภาษาญี่ปุ่น ศูนย์ภาษาญี่ปุ่น

ภาษาอังกฤษ ติดตามได้ที่ http://www.waseda.jp/cjl/html/e_study.index.html

*เกี่ยวกับการเข้าศึกษาต่อโดยการเสนอให้เข้าศึกษาด้วยวิธีการพิเศษ (โควตา)
จากโรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ ติดตามได้จากเว็บไซต์ภาษาไทย
http://www.waseda.ac.th/index.php?option=com_content&view=article&id=60&Itemid=66

4. ฐานข้อมูลคณาจารย์ และนักวิจัย

ภาษาอังกฤษ ติดตามได้ที่https://www.wnp7.waseda.jp/Rdb/app/ip/ipi0201.html?lang_kbn=1

5. ข้อมูลทุนการศึกษา

ภาษาอังกฤษ ติดตามได้ที่

http://www.cie-waseda.jp/cometowaseda/scholarship_e.html

http://www.waseda-iao.jp/waseda/e/admission/4/04a/4-1-1.html

6. ค้นหาข้อมูลหลักสูตร
https://www.wnz.waseda.jp/syllabus/epj3011.htm?pLng=en

 

แนะนำนักเรียน : กรี จิระเกียรติวัฒนา (ช้าง)

สวัสดีครับ ผมชื่อ  กรี จิระเกียรติวัฒนา ชื่อเล่น ช้าง
จบปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ภาคอินเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครับ

ได้ข่าวล่าสุด ทราบมาว่าคุณช้างสอบผ่านหลักสูตรเชฟของโอเรียลเต็ล
ทำไมถึงตัดสินใจจะเรียนเชฟที่โอเรียลเต็ลล่ะคะ

ก่อนหน้านี้ผมทำงานเป็นผู้ช่วยเชฟแบบจ้างเป็นรายวันน่ะครับ เพราะว่าผมไม่ได้จบด้านการทำอาหารมาโดยตรง
ก็เลยคิดว่าจะไปเรียนทำอาหารให้เป็นเรื่องเป็นราว หลักสูตรเชฟก็จะเริ่มเรียนเดือนสิงหาคมนี้แล้วครับ
เรียนตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ ทำให้ชนกับการเรียนภาษาญี่ปุ่นที่วาเซดะ
คิดว่าคงจะต้องดร๊อปเรียนที่วาเซดะไปสัก 1 ปีเลยล่ะครับ อาจจะทำให้ลืมภาษาญี่ปุ่นไปเลยก็ได้

แล้วทำไมถึงเลือกเรียนภาษาญี่ปุ่นที่วาเซดะ
ผมตั้งใจจะไปเรียนต่อด้านการทำอาหารที่ญี่ปุ่นน่ะครับ แต่เท่าที่ศึกษาข้อมูลมา
เห็นว่าต้องมีพื้นฐานความรู้ภาษาญี่ปุ่นระดับ 2 ครับ เลยต้องเรียนภาษาญี่ปุ่นเตรียมไว้

สถาบันการเรียนทำอาหารที่เลือกไว้คือที่ไหน
ตอนนี้ก็มองเอาไว้ที่สถาบันฮัตโตริครับ อยู่ในกรุงโตเกียว
เป็นสถานที่เดียวกับที่ออกรายการเชฟกะทะเหล็กน่ะครับ

สอบเข้าเรียนที่โอเรียลเต็ลเป็นยังไงบ้าง ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย
ก็มีทั้งข้อสอบข้อเขียน การฟังครับ ผมว่าข้อสอบง่ายนะ ง่ายรุนแรงเลยล่ะครับ
เนื้อหาเกี่ยวกับอาหารนิดหน่อย แล้วก็มีสอบสัมภาษณ์ด้วยครับ
ถามทั้งภาษาไทยแล้วก็ภาษาอังกฤษครับ

อยากเป็นเชฟ แล้วทำไมถึงเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ล่ะ
พอดีผมเป็นรุ่นแรกที่ทำข้อสอบแบบ O-net A-net ตอนนั้นคิดเอาไว้แล้วว่าระบบมันต้องมั่วมากแน่ๆ ครับ
ประกอบกับยังไม่รู้ว่าอยากจะเรียนอะไร แต่ก็คิดว่าอยากเรียนภายใต้ชื่อ “จุฬาฯ” ไว้ก่อน
แล้วก็คิดว่าเรียนเศรษศาสตร์น่าจะมั่นคงครับ นอกจากนี้ผมยังสนใจเรื่องหุ้นด้วย
แต่ถ้าให้ลงลึกถึงเรื่องบัญชีผมก็ไม่ชอบเหมือนกันล่ะครับ ผมไม่ชอบงานที่ต้องนั่งโต๊ะนานๆ ด้วย
คิดว่าถ้าต้องทำงานแบบนั้น ไม่เกิน 3 ปีคงต้องเลิกทำแน่นอน
ถ้าเลือกได้ก็อยากทำอาหารครับ น่าสนุก และรู้สึกว่าเป็นเกียรติที่ได้ทำครับ

มีเหตุผลอื่นไหมว่าทำไมถึงต้องเลือกไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น
มีครับ เพราะผมชอบสาวญี่ปุ่น (ตอบได้ตรงประเด็นชัดเจนมาก)
คือพอดีผมมีเพื่อนที่มีแฟนเป็นคนญี่ปุ่น เลยลองมาเปรียบเทียบกับคนไทย
ในทัศนคติส่วนตัวของผม ผมคิดว่าผู้หญิงญี่ปุ่นเค้า nice แต่สาวไทยบางคนก็ดีนะครับ
แต่ผมชัดเจนครับว่ามีสเป็กเป็นสาวญี่ปุ่น

แล้วเซนเซที่วาเซดะน่ารักไหมจ๊ะ
น่ารักดีครับ

เรียนที่วาเซดะเป็นอย่างไรบ้าง
ดีครับ ชอบครับ ตื่นเช้ามาก็อยากมาเรียนทุกวัน
คือปกติถ้าไม่มีการบ้านผมก็ไม่อ่านหนังสือนะ แต่พอมีการบ้านก็เท่ากับเป็นการบังคับให้ทบทวนไปในตัวครับ

ที่บ้านสนับสนุนการเรียนทำอาหารไหมคะ
คุณพ่อก็ให้อิสระเต็มที่ครับ พอดีที่บ้านผมทำงานด้านตัวเลขกันหมดเลยด้วย
แต่ที่จริงคุณพ่อผมก็อยากเปิดร้านอาหาร ท่านก็เลยสนับสนุน
ส่วนตัวผมก็ตั้งใจจะไปกอบโกยประสบการณ์จากสถาบันการเรียนทำอาหารดีๆมีคุณภาพมาให้มากที่สุดครับ

ตอนเด็กๆ เคยฝันอยากเป็นอะไร
ตอนม.ต้น อยากเป็นผู้กำกับครับ เพราะคิดว่าเป็นการสร้างผลงานศิลปะ
แต่พอตอนม.ปลายอยากเป็นนักดนตรีครับ เคยมีวงของตัวเองด้วย ผมตีกลองครับ
ตอนมหาลัยก็เล่นในวงเหมือนกันเคยมีคนให้ไปร้องนำด้วยแต่ผมชอบตีกลองมากกว่านะ
มันสนุกและได้อารมณ์มากกว่า

ชอบดูการ์ตูนไหม
ปกติไม่ชอบดูการ์ตูน เคยอ่านอยู่เรื่องเดียวและชอบมากเลยก็คือ การ์ตูนเรื่อง วันพีชครับ

เคยไปญี่ปุ่นไหมคะ
เคยไปเที่ยวกับเพื่อน แล้วก็ไปเที่ยวกับครอบครัวครับ ผมชอบโตเกียวมากที่สุด
มีครั้งหนึ่งเคยไปทัวร์ออนเซ็นหลายที่เหมือนกัน แต่ที่จำได้ก็มีเซนไดครับ
ตอนลงบ่อครั้งแรกรู้สึกร้อนครับ รีแลกซ์ดี แต่ผมไม่เขินนะ
พอไปโตเกียวก็ไปดื่มสาเกกับพี่ชาย มีสาวญี่ปานนั่งดริ๊งมานั่งเป็นเพื่อนด้วย 2 คน
ชื่อ มิกิ กับ โมโกะ (จำได้แม่นเชียวนะ)
ถือเป็นแรงบันดาลใจในการมาเรียนภาษาญี่ปุ่นอีกอย่างหนึ่งของผมเลยนะครับ (จุดยืนชัดเจน)

“แรงบันดาลใจ”ที่ว่า หมายความว่ายังไงคะ
หมายความว่าคุยกันไม่รู้เรื่องครับ เลยอยากเรียนภาษาญี่ปุ่น
อยากพูดได้ สื่อสารกันได้คุยด้วยได้ครับ

อาหารญี่ปุ่นที่ชื่นชอบ
ชอบซูชิ ซาชิมิ พวกปลาดิบ หอยแมลงภู่ครับ

สมมุติว่าภารกิจการหาแฟนสาวชาวญี่ปุ่นสำเร็จ
จะทำอาหารเมนูใดให้เธอรับประทาน

โอวว … ผมจะทำให้เธอรับประทานทุกวันเลยครับ อยากจะกินอะไรขอให้บอก
าเป็นอาหารไทยก็น่าจะเป็นส้มตำครับ ส่วนใหญ่คนญี่ปุ่นจะชอบส้มตำ
จะตื่นเต้นกับส้มตำมากเป็นพิเศษ หรือไม่ก็พวกอาหารอีสานครับ

บอลโลกปีนี้เชียร์ทีมอะไร
อาร์เจนตินาครับ

ฝากอะไรถึงคนที่จะเรียนภาษาญี่ปุ่นบ้างคะ
อยากรู้อะไรถามผมก็แล้วกันครับ changkree@hotmail.com (เฉพาะสาวๆเท่านั้นนะจ๊ะ)

 

พิพิธภัณฑ์โดราเอมอนกำลังจะเสร็จแล้วครับ

พิพิธภัณฑ์ “โดราเอมอน” และ “ปาร์แมน” จะเปิดให้บริการที่จังหวัดคาวาซากิ
ใกล้ๆกับกรุงโตเกียวในเดือนกันยายน ปีค.ศ.2011 หรือปีหน้านี้ครับ

ผู้เขียนเรื่องโดราเอมอนคือ “ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ” แต่อันที่จริงมีนักเขียนการ์ตูน 2 ท่านร่วมกันสร้างกันโดเรมอนขึ้นมาครับ
โดยพิพิธภัณฑ์นี้เป็นการจัดแสดงผลงานต้นฉบับของฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะ 1 ใน 2 ผู้สร้างโดราเอมอน
และมีชื่อสถานที่อย่างเป็นทางการว่า “พิพิธภัณฑ์ฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะ” ครับ
ติดตามรายละเอียดได้จาก http://www.fujiko-f-fujio.jp/museum/

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เก็บรักษาผลงานต้นฉบับที่ยังหลงเหลืออยู่ประมาณ 5 หมื่นชิ้นของคุณฟูจิโกะ
ที่เสียชีวิตในปีค.ศ. 1996 และนอกเหนือจากจะนำมาจัดแสดงในบางโอกาสแล้ว
ยังมีมินิเธียเตอร์และร้านกาแฟ รวมถึงได้ยินว่ามีตุ๊กตาโดเรมอนและโนบิตะบนสวนลอยฟ้าอีกด้วยครับ

นอกจากนี้ ยังได้ยินว่าสามารถพบเห็นสิ่งที่คุณฟูจิโกะโปรดปราน
ไม่ว่าจะเป็น หมวกผ้าสักหลาดทรงกลม ยาสูบ โต๊ะทำงาน คอลเลกชั่นฟอสซิลไดโนเสาร์ได้ที่นี่อีกด้วยครับ

ทั้งนี้ภายในตัวอาคารยังมีห้องที่สามารถขี่โดเรมอนเล่นได้
และมีห้องสมุดซึ่งสามารถอ่านหนังสือการ์ตูนเตรียมไว้ให้อีกด้วยครับ
นอกจากนี้ที่ร้านกาแฟยังมีกำหนดการที่จะจัดเตรียมเครื่องมือต่างๆ ของโดราเอมอน
ซึ่งเป็นอาหารที่เกี่ยวข้องกับผลงานของคุณฟูจิโกะเช่น “ขนมปังช่วยจำ” เป็นต้น

จากนี้ไปก็คงจะต้องตั้งตารอกันแล้วล่ะนะครับ

 

ชมภาพกิจกรรมเขียนพู่กันญี่ปุ่น Shodo โดย Day Class 1 และ Day Class 4

 

“ร้านคิตตี้จัง” ที่ฮาราจุกุจะปิดทำการชั่วคราว

ถ้าเอ่ยถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในหมู่คนไทยที่ไปเที่ยวญี่ปุ่น
แน่นอนครับว่าต้องมีฮาราจูกุรวมอยู่ด้วย บนถนนทาเคชิตะ มีร้าน Johnny’s shop
ร้านคอสเพลย์ ตั้งอยู่เรียงราย รวมถึงร้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังคือ “ร้านคิตตี้แลนด์ฮาราจูกุ”
สำนักงานใหญ่ของร้านคิตตี้จังครับ ซึ่งนอกเหนือจากสินค้าของคิตตี้จังแล้ว
ยังมีสินค้าตัวละครของซานริโอ้และสินค้าจากการ์ตูนอนิเมชั่นอื่นๆ อีกมากมายอย่างครบครัน
สามารถติดตามได้ที่ http://www.shibukei.com/photoflash/966/

โดยในปลายเดือนสิงหาคมนี้จะมีการเริ่มสร้างร้านคิตตี้จังขึ้นใหม่
จึงจะต้องมีการปิดร้านครับ ติดตามรายละเอียดได้จาก
http://www.kiddyland.co.jp/etc/kiddy_hara_renew/

และเนื่องจากร้านคิตตี้จังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวที่มาจากต่างประเทศ
จึงมีการแจ้งการปิดร้านเป็นภาษาต่างๆ ได้แก่ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาเกาหลี
ติดตามการแจ้งปิดร้าน (เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ) ได้ที่นี่ครับ
http://www.kiddyland.co.jp/etc/kiddy_hara_renew_e/

ดังที่ปรากฏอยู่ในประกาศ ว่าร้านคิตตี้จังมีกำหนดจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง
ณ สถานที่เดิมในฤดูร้อนของค.ศ. 2012 (น่าจะประมาณเดือนสิงหาคม?) ครับ
คนที่จะไปญี่ปุ่นในช่วงเวลานี้ กรุณาระวังด้วยนะครับ

ทั้งนี้ เนื่องจากร้านที่เปิดใหม่จะไม่ได้แค่ขายสินค้าเพียงอย่างเดียว
แต่ยังเป็นศูนย์กลางในการสื่อสารข่าวสารข้อมูล
และอาจจะมีการสร้างมุมจัดแสดงนิทรรศการสินค้าของคิตตี้จังเหมือนเป็นพิพิธภัณฑ์ด้วยครับ?
จากนี้ไปคนที่ชื่นชอบคิตตี้จังทุกคน คงแทบจะรอไม่ไหวกันเลยทีเดียวนะครับ

 

“Hayabusa” สิ่งที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าตัวแทนทีมชาติญี่ปุ่น

คราวก่อนผมได้หยิบยกหัวข้อชัยชนะ ของตัวแทนทีมชาติญี่ปุ่นเหนือทีมชาติแคมารูนในการแข่งขันฟุตบอลโลกมาเขียนลงบล็อกไปแล้วนะครับ ตอนนี้ในญี่ปุ่นเอง ก็มีสิ่งที่ถูกจับตามองไม่แพ้ตัวแทนทีมชาติญี่ปุ่น นั่นก็คือ “Hayabusa (เหยี่ยว)” ยานสำรวจดาวเคราะห์น้อยไร้มนุษย์ครับ

ยานลำนี้ปล่อยออกสู่อวกาศเมื่อ 7 ปีก่อนในเดือนพฤษภาคม ปีค.ศ. 2003 ผ่านเส้นทางการเดินทางไปกลับจากผิวโลก 6 พันล้านกิโลเมตร และเดินทางกลับสู่โลกเมื่อวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมาครับ ความสำเร็จในการไปกลับจากโลกถึงเทหวัตถุในจักรวาลยกเว้นดวงจันทร์ครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จที่น่าปลาบปลื้มครั้งแรกของโลกเลยล่ะครับ

ภารกิจหนึ่งของ “Hayabusa” คือการลงจอดบนดาวเคราะห์น้อย “อิโตกาวา” ที่อยู่ห่างจากโลกถึง 2 พันล้านกิโลเมตร และนำทรายจากดาวดวงนั้นกลับมา โดยดาวเคราะห์น้อย “อิโตกาวา” ยังคงรักษารูปลักษณะเดิมนับตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นพร้อมๆ กับโลกเมื่อ สี่พันหกร้อยล้านปีมาแล้ว ถ้าหากได้นำทรายจากที่นั่นมาวิเคราะห์แล้วล่ะก็ คาดว่าจะสามารถไขข้อข้องใจเกี่ยวกับโครงสร้างการก่อตัวขึ้นของระบบสุริยะได้ครับ

“Hayabusa” ใช้เครื่องยนต์ใหม่ที่มีรูปแบบเป็นการประหยัดพลังงานเรียกว่า “เครื่องยนต์ไอออน” และได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เช่นเทคโนโลยีควบคุมการเคลื่อนที่อัตโนมัติโดยไม่ต้องรับคำชี้นำโดยตรงจากพื้นโลก เป็นต้น ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ครั้งนี้ก็เป็นการทดลองว่าเทคโนโลยีนี้จะสามารถใช้ได้ผลจริงหรือไม่ เพราะถ้าเทคโนโลยีเหล่านี้ประสบความสำเร็จ ก็จะทำให้แม้แต่ยานสำรวจลำเล็กๆ ก็สามารถติดตั้งเทคโนโลยีพื้นฐาน อันมีเป้าหมายในการสำรวจเทหวัตถุในจักรวาลที่อยู่ห่างไกล เช่น ดาวพฤหัสได้ยังไงล่ะครับ

อันที่จริงแล้วในระยะเวลา 7 ปีมานี้ “Hayabusa” ต้องประสบปัญหามาตลอด ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ควบคุมลักษณะการบินเสีย และเชื้อเพลิงรั่วไหลตามมาเป็นลำดับ อีกทั้งยังกลับสู่พื้นโลกล่าช้ากว่ากำหนดการถึง 3 ปี จนเครื่องยนต์ต้องทำงานมากกว่าอายุขัยที่ได้รับการออกแบบมาเป็นต้น ส่งผลให้ทางทีมผู้ปล่อยยานต้องสิ้นหวังว่าจะได้เห็นยานหวนคืนสู่พื้นโลกมาแล้วหลายครั้งหลายหน อย่างไรก็ดี ในคราวนี้ทางทีมงานได้ค้นพบมาตรการแก้ปัญหา จนทำให้ยานฮายาบูสะสามารถกลับสู่พื้นโลกได้สำเร็จครับ

เมื่อวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา 3 ชั่วโมงก่อนที่ “Hayabusa”จะกลับสู่ชั้นผิวโลก ได้มีการแยกปล่อย “แคปซูลเก็บข้อมูล” ที่ (อาจจะ) มีทรายที่ได้จากดาวเคราะห์น้อยอยู่ข้างในลงสู่พื้นโลก ขณะที่เมื่อเข้าสู่ชั้นบรรยากาศแล้ว ยานแม่ฮายาบูสะก็มอดไหม้และแตกตัวออกเป็นชิ้นๆ ถือเป็นการสิ้นสุดภารกิจครับ ซึ่งภาพในตอนนั้นได้รับการเปิดเผยด้วยภาพถ่ายขององค์การนาซ่า

แม้ว่าจะเป็นภาพที่งดงามมาก แต่พอคิดว่าเป็นการเผาไหม้ที่ปลิดชีวิตของ “Hayabusa” แล้ว ผมก็รู้สึกสะท้อนใจนิดๆ เหมือนกันนะครับ

ทั้งนี้ แคปซูลเก็บข้อมูลได้ตกลงในทะเลทรายแห่งหนึ่งในประเทศออสเตรเลียอย่างปลอดภัย อันที่จริงแล้วในขณะที่ยานลงจอดบนดาวเคราะห์น้อยอิโตกาวา อุปกรณ์เก็บข้อมูลไม่ได้ทำงานตามปกติ กล่าวคือแม้ว่าจะเก็บทรายได้ แต่ก็ได้ในจำนวนที่น้อยมาก ทว่า แม้จะเป็นเม็ดเล็กๆ ราวกับผงแป้งเพียงเม็ดเดียวก็สามารถนำไปวิเคราะห์หาส่วนประกอบได้ครับ และพอได้ยินว่าองค์กรสำรวจอวกาศญี่ปุ่นจะเก็บตัวอย่าง นำไปวิเคราะห์ ผมก็เลยตั้งตารอว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไงครับ

 
Leave a comment

Posted by on 06/17/2010 in By Khun Shu, Cool Site, Variety

 

วาเซดะจะไปออกบูธในงาน Saha Group Fair ครั้งที่ 14

วาเซดะจะไปออกบูธในงาน Saha Group Fair ครั้งที่ 14 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ระหว่างวันที่ 1- 3 กรกฎาคม 2553 ภายในบูธมีกิจกรรมวัฒนธรรมและรับส่วนลดหลักสูตรภาษาญี่ปุ่น (เฉพาะในงาน)
แล้วไปเจอกันนะ !

 
3 Comments

Posted by on 06/17/2010 in Announcement

 

ฟุตบอลกับการสื่อสาร

ทุกคนได้ชมการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกระหว่างญี่ปุ่นและแคมารูน
ในวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมากันไหมครับ?

คนส่วนใหญ่ในโลกรวมถึงคนไทยและคนญี่ปุ่นก็คงจะคาดการณ์กันว่าแคมารูนจะเป็นชนะใช่ไหมล่ะครับ
แต่ผลการแข่งขันกลับ ปรากฏว่าญี่ปุ่นเป็นฝ่ายชนะไปด้วยคะแนน 1 ต่อ 0 ประตู
(จะว่าไปแล้วคุณโอกาตะ ผู้จัดการทีมชาติญี่ปุ่นก็เป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยวาเซดะด้วยนะครับ)
ภาพกองเชียร์ชาวญี่ปุ่นที่เดินทางจากญี่ปุ่นไปชมการแข่งขันถึงแอฟริกาด้วยระยะทางห่างไกล
ถูกแพร่ถาพทางโทรทัศน์หลายต่อหลายครั้ง ซึ่งในคราวก่อนผมก็เคยได้นำเสนอในบล็อก
ว่าด้วยเรื่อง “NIHON หรือ NIPPON กันแน่นะ” ไปแล้วว่าในการส่งเสียงเชียร์จะใช้คำว่า “NIPPON” ครับ

อย่างไรก็ดีในวันนั้น ผมไปนครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนามเพื่อทำงานครับ
หลังจากที่รับประทานอาหารค่ำกับแขกเสร็จแล้ว ผมก็เดินเข้าไปในย่านใจกลางเมือง
ทุกร้านค้าและภัตราคารต่างก็ถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลโลกนัดของญี่ปุ่น
โดยในบริเวณนั้นมีคนมารวมตัวกันอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งคนไทยและคนเวียดนาม
ต่างก็มีสิ่งที่เหมือนกันคือ แม้ว่าจะชอบดูฟุตบอลมาก
แต่ก็มีลักษณะเด่นคือจะไม่ส่งเสียงดัง และดูกันเงียบๆ อย่างตั้งอกตั้งใจครับ

วันรุ่งขึ้น ผมเดินทางโดยรถแท็กซี่เช่าเหมาทั้งวันครับ ทั้งนี้รถแท็กซี่แทบทั้งหมดในนครโฮจิมินห์มักจะต้องเช่าแบบนั้น
และคนขับรถเองก็แทบจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ทำให้การสื่อสารเป็นไปอย่างยากลำบาก
คนขับรถคนนี้เป็นผู้ชายอายุประมาณ 40 ปีชื่อบุนซัง รูปร่างผอม หน้าตาไม่ยิ้มแย้ม และแทบจะไม่พูดเลยล่ะครับ
ผมเองก็แทบจะไม่ได้พูดอะไรในรถเลย นอกเหนือจากการอธิบายถึงสถานที่ที่จะไปครับ

อย่างไรก็ดี ขณะที่กินเฝอ (อาหารเวียดนาม) เป็นอาหารกลางวันด้วยกัน
บุนซังก็พูดถึงเรื่องฟุตบอลโลกขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน โดยบุนซังดูตื่นเต้นและพยายามอย่างมาก
ที่จะพูดภาษาอังกฤษผสมกับภาษาเวียดนามแบบกระท่อนกระแท่นว่า

“เมื่อวานญี่ปุ่นชนะสินะครับ เป็นทีมที่แข็งแกร่งเหมือนกันนะ”
“ฮอนตะคนที่ทำประตูได้ก็สุดยอดเลยนะครับ”

ส่วนผมเองก็พูดภาษาเวียดนามไม่ได้ เลยตอบเป็นภาษาอังกฤษว่า

“คราวนี้ตัวแทนทีมชาติญี่ปุ่นถูกประเมินแม้แต่ในญี่ปุ่นเองว่าไม่เก่งครับ”
“คราวต่อไปต้องแข่งกับฮอลแลนด์ น่าจะเอาชนะได้ยากนะครับ”

ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าเราจะเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะบอกแค่ไหน แต่ก็ดีใจมากๆ ครับ
ที่กีฬาที่เรียกว่าฟุตบอล สามารถทำให้เกิดการสนทนาระหว่างคนญี่ปุ่นที่ไม่รู้ภาษาเวียดนาม
และคนเวียดนามที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น ด้วยภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆ
และรู้สึกราวกับว่าสามารถสื่อความรู้สึกถึงกันได้อย่างบอกไม่ถูก

ในการที่จะศึกษาภาษาต่างประเทศ แน่นอนว่ามีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มเติม “ความรู้”
ไม่ว่าจะเป็นด้านไวยากรณ์ ตัวอักษร และคำศัพท์ เป็นต้น
อีกทั้งการเรียนภาษายังมีวัตถุประสงค์เพื่อสามารถสนทนาคำศัพท์ได้อย่าง “ถูกต้อง”
และสื่อสารกันโดยไม่เกิดความเข้าใจผิดอีกด้วยครับ

ทว่าสิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือ แม้ว่าจะออกเสียงไม่เก่ง หรือใช้ไวยากรณ์ผิดก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าได้สื่อความรู้สึกของตนเอง และได้เอียงหูตั้งใจฟังเสียงของฝ่ายตรงข้าม แค่นี้ก็น่าจะบรรลุเป้าหมายแล้ว
นอกจากนี้การได้ทำให้ “ความคิด” ที่อยากจะเข้าใจความรู้สึกของฝ่ายตรงข้ามกลายเป็นความจริงได้
รวมถึงการได้รับความรู้สึกพึงพอใจที่ได้ “ความเข้าใจกัน” ภายหลังจากการพูดคุยนั้นเองที่เป็นผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ที่สุด
ซึ่งได้จากการเรียนภาษาต่างประเทศไม่ใช่หรอกเหรอครับ

ระหว่างที่ผมคิดเรื่องนั้น และรอเครื่องบินขึ้นในตอนค่ำที่สนามบินนานาชาติเติ่นเซินเญิต นครโฮจิมินห์
ก็มี SMS จากคุณบุนเข้ามาทางโทรศัพท์มือถือ โดยข้อความเป็นภาษาอังกฤษใจความว่า
“THANK YOU VERY MUCH SEE YOU” ครับ

 
5 Comments

Posted by on 06/16/2010 in By Khun Shu, Variety

 

ปีค.ศ. 2041 นี้ “เราจะไปเที่ยวอวกาศด้วยเงิน 1 ล้านเยน” ได้แล้วหรือนี่?

สถาบันวิจัยนโยบายทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งญี่ปุน ได้รายงานผลการสำรวจ
ซึ่งสรุประยะเวลาที่คาดการณ์ว่าจะทำให้สำเร็จได้จริงถึงหัวข้อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ในอีก 30 ปีข้างหน้า สามารถติดตามได้จาก …

http://www.nistep.go.jp/index-j.html

การสำรวจนี้ใช้เวลาจัดทำประมาณ 5 ปีโดยมีนักวิทยาศาสตร์และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคเป็นกลุ่มเป้าหมาย
โดยได้ยินว่าในครั้งนี้มีผู้ตอบแบบสอบถามประมาณ 3,000 คนครับ

จากการสำรวจพบว่า กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่นจะสามารถทำให้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ดังต่อไปนี้เกิดขึ้นเป็นจริง และคาดว่าจะเผยแพร่ออกสู่สังคมได้
(รายงานจำนวนปีตามระยะเวลาที่คาดการณ์ว่าจะทำให้สำเร็จได้จริง)

ปีค.ศ. 2025 : รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ชาร์จแบต 1 ครั้ง สามารถแล่นได้ประมาณ 500กิโลเมตร

ปีค.ศ. 2027 : หุ่นยนต์ที่มีความสามารถในการฟังและการมองเห็นชั้นเยี่ยม ซึ่งจะเข้ามาทำหน้าที่ในการบรรเทาภัยพิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ในที่เกิดเหตุระเบิดแทนตำรวจเป็นต้น

ปีค.ศ. 2037 : สามารถทำนายช่วงเวลาการเกิดแผ่นดินไหวที่มีขนาดตั้งแต่ 6 ริกเตอร์ขึ้นไปได้ (ในระยะเวลามากกว่า 1 ปี)

ปีค.ศ. 2040 : มีฐานทัพบนพื้นผิวดวงจันทร์ที่มีผู้ควบคุมอยู่ด้วย

ปีค.ศ. 2041 : สามารถท่องเที่ยวอวกาศได้ในจำนวนวงเงิน 1 ล้านเยน

สิ่งที่ผมสนใจมากเป็นพิเศษคือข้อสุดท้าย การไปเที่ยวอวกาศครับ
ในปัจจุบันนี้มีเพียงนักบินอวกาศเท่านั้นที่สามารถไปได้
และถึงแม้ว่าบริษัทเอกชนเองก็มีโครงการท่องเที่ยวอวกาศ
แต่ได้ยินว่าราคาก็สูงมากจนมีแต่มหาเศรษฐีเท่านั้นที่จะเข้าร่วมได้

ถึงอีกประมาณ 30 ปีข้างหน้าผมจะอายุ 70 ปีแล้ว
แต่ถ้าสามารถไปเที่ยวอวกาศได้ในราคา 1 ล้าน
คิดว่าผมคงจะตั้งใจเก็บตังค์ตั้งแต่ตอนนี้เลยล่ะครับ

 
1 Comment

Posted by on 06/15/2010 in By Khun Shu, Cool Site, News, Variety

 

ชมภาพกิจกรรมเขียนพู่กันญี่ปุ่น Shodo โดย Day Class 2 และ Day Class 3

วันนี้บล็อกวาเซดะ ขอประมวลกิจกรรมเขียนพู่กันญี่ปุ่น Shodo โดยนักเรียน Day Class 2 และ Day Class 3
ซึ่งได้ร่วมกิจกรรมเมื่อวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2553 ที่ผ่านมา

 

“พี่พร” นางฟ้าแห่งวาเซดะ

สวัสดีค่ะ ชื่อ อัมพร แสงกล้า ชื่อเล่นชื่อ พร หรือจะเรียกว่า พี่พร ก็ได้ค่ะ เป็นคนจังหวัดอุบลราชธานี
แต่งงานแล้ว มีลูก 4 คน คนโตอายุ 23 ปี คนเล็กสุดอายุ 12 ปีค่ะ พี่พรทำงานเป็นแม่บ้านที่วาเซดะ
มาได้ 6 ปีกว่าแล้วค่ะ ตั้งแต่วาเซดะเปิดได้ 2 ปี ก็มาสมัคร แล้วก็ได้รับเข้าทำงานตั้งแต่วันนั้นเลยค่ะ …

ก่อนจะมาทำงานที่วาเซดะ …
ก่อนหน้านี้พี่พรก็ทำงานเป็นแม่บ้านของตึกทั่วไปค่ะ แล้วเพื่อนก็แนะนำให้มาสมัครงานที่นี่
แล้วก็ทำงานที่นี่มาตลอดเลยค่ะ

ชาววาเซดะลงความเห็นว่า พี่พรทำอาหารอร่อยมาก มีอาหารอะไรที่ถนัดเป็นพิเศษบ้าง
แล้วเซนเซที่โรงเรียนชอบเมนูไหนเป็นพิเศษคะ

พี่พรถนัดทำอาหารอีสานเป็นพิเศษค่ะ อาหารไทยก็ทำได้บ้าง เช่นอาหารประเภทยำ หรือแกง
ส่วนเมนูที่ถูกปากเซนเซมากที่สุดคือแกงเขียวหวาน กับส้มตำค่ะ

ทำงานที่วาเซดะมา 6 ปีแล้ว เป็นอย่างไรบ้างคะ
ชีวิตประจำ วันที่วาเซดะมีความสุขดีค่ะ เจ้าหน้าที่รักใคร่กลมเกลียวกันดี
เสมอต้นเสมอปลาย ไม่ถือตัว ภูมิใจที่ได้ทำงานที่นี่ค่ะ

เล่า ถึงการทำงานกับคนญี่ปุ่น
สนุกค่ะ ได้เรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นด้วย พี่พรก็พอจะพูดภาษาญี่ปุ่นได้เป็นคำๆ
แต่พูดเป็นประโยคไม่ได้ ส่วนการฟังก็พอฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง
แต่ก็สามารถสื่อสารกันได้ค่ะ

ขนมฮิตๆ ของวาเซดะตอนนี้คืออะไรคะ
ขนมปังสอดไส้สับปะรดค่ะ

เวลาว่างพี่พรชอบทำอะไร
วันหยุดบางทีก็ไปทำจ๊อบค่ะ อย่างอาทิตย์หนึ่งก็จะทำงาน 6 วัน
ถ้าหากไม่ไปทำงานก็จะทำความสะอาดบ้าน ดูแลบ้านค่ะ

อยู่ ห่างกับลูกๆ คิดถึงบ้างไหมคะ
คิดถึงมากค่ะ (น้ำตาไหลพราก) เพราะลูกอยู่ที่อุบล
จะได้เจอกันเฉพาะช่วงที่ลูกสาวปิดเทอม หรือว่าช่วงเทศกาลค่ะ

ขอถามนอกประเด็น … เกี่ยวกับ … เอ่อ … ผู้ชายในสเป็ก
ยังไงก็ได้ ขอให้รักเราจริง ช่วยกันทำมาหากิน มีความรับผิดชอบ
เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกไม่สำคัญค่ะ

มีอะไรอยากจะฝากถึง นักเรียนบ้างไหมคะ
พี่พรเองก็จะพยายามดูแลความสะอาดเรียบร้อยของโรงเรียนอย่างดีที่สุดเพื่อนัก เรียนทุกๆ คนนะคะ
ส่วนนักเรียนเองก็ช่วยกันรักษากฎระเบียบของโรงเรียนด้วยเพื่อโรงเรียนของเรา
หากมีอะไรพี่พรก็ยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือทุกๆ คนเสมอคะ

 

“เดิน 5 นาที” ของคนไทยกับคนญี่ปุ่น

สวัสดีครับ วันก่อนมีการเปิดจุดจอดรับส่งรถ BRT สาทร ที่หน้าอาคารเอ็มไพร์
ที่ตั้งของโรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ
ทำให้นักเรียนที่อาศัยอยู่ทางถนนนราธิวาสและถนนพระราม 3 ไปกลับโรงเรียนได้สะดวกมากขึ้นนะครับ
แต่ที่น่าดีใจยิ่งกว่านั้น คือมีการเปิดทางเดินลอยฟ้าเชื่อมจากสถานีรถไฟฟ้า (BTS)ช่องนนทรี
มาจนถึงจุดจอดรับส่งรถ BRT สาทรครับ

ก่อนหน้านี้ พอออกจากช่องตรวจตั๋วของสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี แล้วก็ต้องลงบันไดเดินต่อ
จากนั้นก็ต้องขึ้นบันไดเพื่อขึ้นสะพานลอยข้ามสี่แยกถนนสาทร-นราธิวาสอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะลงสะพานลอย
เป็นระยะทางที่เหนื่อยเอาการเหมือนกันนะครับ ด้วยระยะทางแบบนี้
ผมเคยอธิบายเมื่อถูกสอบถามว่า

“จากสถานีช่องนนทรีมาถึงอาคารเอ็มไพร์นี่ไกลประมาณเท่าไหร่” ไว้ว่า
“เดินประมาณ 5 นาทีครับ”

ที่จริงแล้ว ผมใช้เวลาเดินประมาณ 3 นาที 30 วินาทีแต่ถูกเจ้าหน้าที่คนไทยเตือนว่า

“ก็คนญี่ปุ่นเดินเร็ว ถ้าคิดถึงความเร็วการเดินของคนไทย บอกว่าประมาณ 5 นาทีดีกว่า” ครับ

นอกจากนี้ ตอนเช้าๆ ระหว่างทางยังมีกาแฟเย็นและน้ำส้มคั้นที่น่าอร่อยขาย
ส่วนตอนเย็นบนสะพานลอยก็มีก็มีร้านขายเสื้อยืดราคาถูกและเครื่องประดับด้วย
แถมถ้ามีโทรศัพท์จากแฟนเข้ามา ความเร็วในการเดินก็มักจะช้าลงอีกครับ
ดังนั้นถ้าจะให้ถูกต้องแม่นยำ จะต้องอธิบายว่า

“ถ้าเดินเหมือนพนักงานกินเงินเดือนชาวญี่ปุ่นในโตเกียวจะใช้เวลา 3 นาทีนิดๆ
ถ้าเดินตรงมาโดยไม่ซื้อของระหว่างทาง หรือไม่คุยโทรศัพท์กับแฟนจะใช้เวลา 5 นาที
แต่ถ้าเดินไปแวะซื้อของตามร้านไปเหมือนเดินตลาดนัดจตุจักรจะใช้เวลา 10 นาที”
ใช่ไหมล่ะครับ

(จะว่าไปแล้วที่ญี่ปุ่น นายหน้าผู้แนะนำอสังหาริมทรัพย์อย่างเช่นอพาร์ทเมนต์และแมนชั่น
จะต้องทำข้อกำหนดอาทิ “เดินเท้า 1 นาที=ระยะทาง 80 เมตร” และใช้หลักเกณฑ์นี้กันอย่างแพร่หลายครับ)

และคราวนี้ เมื่อทางเดินลอยฟ้าสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ผมได้ลองคำนวนระยะเวลาการเดินจริงด้วยตนเอง
ว่าย่นระยะเวลาการเดินไปได้มากน้อยแค่ไหนครับ ปรากฏว่าใช้เวลาไป “3 นาทีพอดี” ครับ

ว่าแต่ว่า เจ้าหน้าที่คนเก่งทุกคนของโรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะครับ
ต่อไปจะอธิบายต่อคำสอบถามของลูกค้าว่าใช้เวลาเดินมาถึงโรงเรียนสักกี่นาทีกันดีล่ะครับ?

 

NiHON หรือ NIPPON

วัสดีครับ ไม่ทราบว่าผู้ที่กำลังเรียนภาษาญี่ปุ่นทุกคนอ่านชื่อประเทศ “日本” ว่ายังไงกันเหรอครับ?
อันที่จริงแล้ว แม้แต่ในหมู่คนญี่ปุ่นเองก็สามารถแบ่งเป็นคนที่เรียกว่า “ニホン(NIHON)”
กับคนที่เรียกว่า “ニッポン(NIPPON)” ได้ครับ ทั้งนี้ เนื่องจากมีการใช้ทั้ง 2 คำ มาตั้งแต่ในสมัยก่อน
ในปีค.ศ. 1970 รัฐบาลญี่ปุ่นได้กำหนดให้ “อ่านชื่อประเทศอย่างเป็นทางการว่า ニッポン(NIPPON)”
แต่ในระดับชีวิตประจำวัน สามารถใช้คำไหนก็ได้ครับ คิดว่าคงจะแตกต่างกันไปแล้วแต่บุคคลนะครับ

สำหรับหลายสิ่งที่มีเรียกว่า ニホン(Nihon) ก็มีดังคำศัพท์ต่อไปนี้

「日本語」 (ニホンゴ)      ภาษาญี่ปุ่น

「日本酒」 (ニホンシュ)     เหล้าญี่ปุ่น

「日本刀」 (ニホントウ)     ดาบญี่ปุ่น

「日本海」 (にほんかい)    ทะเลญี่ปุ่น

ในขณะเดียวกัน ในกรณีของคำศัพท์จำนวนมากที่เรียกว่า ニッポン(Nippon)
ก็มีดังต่อไปนี้ครับ

「日本銀行」(にっぽんぎんこう)      ธนาคารกลางของญี่ปุ่น

「日本国民」(にっぽんこくみん)      ประชากรญี่ปุ่น

นอกจากนี้เวลาเชียร์ทีมแข่งขันกีฬาตัวแทนของญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นฟุตบอล หรือวอลเลย์บอล
ก็จะเรียกทีมว่า “ニッポン(Nippon)” ด้วยครับ
เรียกแบบนั้นรู้สึกว่าช่วยให้ฮึกเหิมมีพลังดีนะครับ

ถ้ามีโอกาสได้พูดคุยกับคนญี่ปุ่น และได้ลองเช็คดูว่า “เอ๊ะ ตอนนี้เรียกว่า NIHON นะ”
หรือ “คราวนี้เรียกว่า Nippon ต่างหาก” เป็นต้น ก็คงจะน่าสนใจเหมือนกันนะครับ


Photo from d.hatena.ne.jp/naokin_tokyo/200606

 
3 Comments

Posted by on 06/09/2010 in By Khun Shu, Life in japan, Variety

 

เรียกคุณพ่อว่าอะไรกันนะ?


Credit Photo from – http://mokudoukoubou.jugem.jp/?eid=163

ที่ญี่ปุ่น ถือเอาวันอาทิตย์ที่ 3 ของเดือนเป็น “ วันพ่อ ”
ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 20 มิถุนายนครับ โดยเว็บไซต์  “ECナビ”
ได้จัดการโหวตก่อนที่จะถึงวันพ่อในหัวข้อ  “ คุณเรียกพ่อของตัวเองว่ายังไง? ” ครับ
ติดตามได้ที่

http://point.ecnavi.jp/vote/?pgid=5&eqid=1517&vtg=1

จากผลโหวต 23,698 คนที่ได้รับ สามารถสรุปผลดังต่อไปนี้

お父さん 43%
おやじ  13%

父さん  8%
とうちゃん7%

パパ   6%
オトン  3%

ไม่เรียก   6%
อื่นๆ    14%

จากผลการสำรวจนี้ พบว่าคนที่เรียกของตัวเองว่า “お父さん” มีจำนวนมากอย่างล้นหลามเลยนะครับ
ในขณะเดียวกันสิ่งที่น่าสนใจคือเหตุผลของคนที่ “ไม่เรียก” และคนที่ตอบว่า “อื่นๆ” นั้นเขาเรียกกันว่ายังไงน่ะครับ

ประเด็นแรก สำหรับคนที่ “ไม่เรียก” ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่คุณพ่อเสียชีวิตไปแล้ว จึง “ไม่เรียก”
ขณะที่ก็มีบางคนที่มีความเห็นที่น่าเศร้า ว่าเพราะมีปัญหาในครอบครัวจึงไม่ได้พูดคุยกันอีกแล้วครับ
ส่วนคนที่ตอบว่า “อื่นๆ” ส่วนใหญ่จะเรียก “ชื่อ” และที่เหลือได้ยินว่าให้คำตอบดังต่อไปนี้ครับ

“Daddy” (เหมือนในละครอเมริกัน)

“おとやん” (เป็นคนโอซาก้ารึเปล่านะ?)

“父上” (ออกมาจากละครเวทียุคซามูไร)

“お父様” (เหมือนคุณหนูในตระกูลขุนนางที่มั่งคั่ง)

ส่วนตัวผม ลูกสาว (อายุ 5 ขวบ) เรียกว่า “パパ” (ป๊ะป๋า)
สมัยที่ลูกสาวผมอายุ 4 ขวบ ผมคิดว่าถ้าเป็นเหมือนครอบครัวซามูไรก็น่าจะเท่ห์ดีนะ
เลยบอกลูกว่า “ต่อไปนี้ให้เรียกพ่อว่า 父上 (ท่านพ่อ) นะ” ทุกวันอยู่ได้สัก 2-3 วัน แต่ลูกก็ไม่ใยดีเลยล่ะครับ (ฮือๆ)

ว่าแต่ คนไทยเรียกพ่อของตัวเองว่ายังไงกันล่ะครับ?
ที่ผมเคยได้ยินมีแต่เรียกว่า “พ่อ” อย่างเดียวเลยล่ะครับ

 
 

เครื่องมือลับของโดราเอมอน

สวัสดีครับ ถ้าพูดถึงการ์ตูนเอนิเมชั่นญี่ปุ่นที่คนไทยชื่นชอบ
คิดว่าจะต้องเป็นเรื่อง “โดราเอมอน” แน่ๆ เลยนะครับ
และโดเรมอนเองก็เป็นที่รักของเด็กๆ ชาวญี่ปุ่นมามากกว่า 30 ปีแล้วเช่นเดียวกัน

ตอนเรียนชั้นประถม คงมีเด็กจำนวนมากไม่ใช่หรอกเหรอครับ
ที่ชอบเล่นพูดกับเพื่อนๆ ว่า  …

“ ในบรรดาเครื่องมือของโดราเอมอน อยากได้อะไรมากที่สุด ”

จะว่าไปแล้ว สิ่งที่ผมอยากได้มากที่สุด ไม่ว่าจะตอนเด็กหรือตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงคือ “ประตูไปไหนก็ได้” ครับ
เรื่องสนุกๆ อย่างการที่เราจะไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ในโลก ในเวลาที่เราพอใจนั้นน่ะ ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วนะครับ

อย่างไรก็ดี ที่ญี่ปุ่นมีเหล่าผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีที่ดู “ โดราเอมอน ” มาตั้งแต่เด็กจนโตได้ทำสิ่งที่ท้าทายคือ

“ลองสร้างเครื่องมือของโดราเอมอนให้เกิดขึ้นได้จริง”

ซึ่ง 1 ในนั้นได้แก่ “ เฮลิคอปเตอร์ไม้ไผ่ ”


ใช้ติดบนศีรษะและโบยบินออกสู้ท้องนภา เป็นเครื่องมือที่ดังที่สุดเลยก็ว่าได้นะครับ

ทั้งนี้ มีบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดนากาโนะ
ได้สร้างเจ้าเครื่องนี้สำเร็จแล้วล่ะครับ ติดตามรายละเอียดได้จาก http://www.gen-corp.jp/
โดยเฮลิคอปเตอร์เครื่องเล็กที่สุดในโลก บรรทุกผู้โดยสารได้เพียง 1 คน มีชื่อว่า “GEN H―4” ครับ

น้ำหนักประมาณ 75 กิโลกรัม สามารถบินได้ในความเร็ว 10-40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงครับ

อนึ่ง ผู้ที่สนใจสามารถสัมผัสเฮลิคอปเตอร์เครื่องจริงได้ที่งานนิทรรศการพิเศษที่จะจัดขึ้น
ณ พิพิธภัณฑ์ในกรุงโตเกียวตั้งแต่วันที่ 12 มิ.ย. นี้ และทดลองบังคับเฮลิคอปเตอร์นี้ได้
จากหน้าจอจำลองด้วยครับ ดูรายละเอียดได้จาก

http://www.miraikan.jst.go.jp/en/spevent/doraemon/

ทุกๆ คนที่อยู่ที่ญี่ปุ่น กรุณาลองไปดูให้ได้นะครับ

 

เราสร้างฐานทัพกันดั้มได้จริงๆ เหรอ?

ที่ญี่ปุ่นมีบริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่ชื่อ “มาเอะดะเคงเวทสึโคเกียว” ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ.1919
ซึ่งเป็นผู้สร้างสิ่งก่อสร้างที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมากมาย
อาทิ อุโมงค์เซคัง ฟุกุโอกะโดม และโรงงานพลังงานนิวเคลียร์ เป็นต้น


ติดตามรายละเอียดได้จาก http://www.maeda.co.jp/fantasy/index.html

ในปีค.ศ. 2003 บริษัทที่มีประวัติศาตร์และขนบธรรมเนียมสืบทอดมายาวนานดังกล่าว
ได้ก่อตั้งแผนกใหม่เรียกว่า “แผนกบริหารจินตนาการ” โดยแผนกนี้มีหน้าที่คือ …

“วิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการสร้างสิ่งที่อยู่ในจินตนาการให้เป็นจริง
รวมถึงคำนวนค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการก่อสร้าง ในกรณีที่มีการนำเทคโนโลยี
ด้านวิศวกรรมโยธามาใช้ในการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ซึ่งปรากฏอยู่ในเกมส์
และการ์ตูนแอนิเมชั่นที่ได้รับความนิยม ”

โดยผลงานของบริษัทตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันคือ

-โรงเก็บหุ่นยนต์ จากการ์ตูนหุ่นยนต์เอนิเมชั่นเรื่อง “Mazinger Z” (หุ่นกายสิทธิ์)

– สะพานปล่อยรถไฟด่วนอวกาศออกสู่พื้นผิวโลก จากการ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่อง “Galaxy Express 999”
(อ่านว่า ทรี-ไนน์) หรือรถด่วนกาแล็กซี่ 999

– สนามแข่งรถ จากเกมส์แข่งรถ “Gran Turismo4” หรือจีที4 เป็นต้น

นอกจากนี้ได้ยินว่า หัวหน้าฝ่ายกลุ่มเครื่องจักรกล ฝ่ายวิศวกรรมโยธา
และพนักงานของบริษัทอื่นๆ ที่ปฏิบัติงานในสถานที่ก่อสร้าง ยังได้ร่วมกันวิเคราะห์
และพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะก่อสร้างสิ่งอื่นๆ ต่อไปด้วยครับ

อย่างไรก็ดีในการก่อสร้างให้รถไฟ จากเรื่อง Galaxy Express 999 สามารถแล่นออกสู่อวกาศได้นั้น
จำเป็นที่จะต้องมีสะพานปล่อยรถไฟ ที่เรียกว่า
“สะพานปล่อยและรับรถไฟด่วนอวกาศความเร็วไฮสปีดแห่งสถานีกลางอภิมหานคร”
โดยสะพานดังกล่าว 1 ชุด ประมาณการณ์ว่ามีมูลค่าถึง สามพันเจ็ดร้อยล้านเยน (ไม่รวมค่าที่ดิน)
ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี 3 เดือน

โดยในปีนี้ ทางทีมงานได้ทยอยเริ่มโครงการใหม่ๆ ไปบ้างแล้ว หนึ่งในนั้นคือการก่อสร้าง “จาบุโร่”
ฐานทัพจากเรื่อง “กันดั้ม” การ์ตูนหุ่นยนต์เอนิเมชั่นประจำชาติของญี่ปุ่น ซึ่ง “จาบุโร่”
เป็นฐานบัญชาการใหญ่ของกองกำลังแห่งสหพันธรัฐบนโลก
และเป็นสถานที่ที่แฟนๆ ของกันดั้มรุ่นแรก (รวมถึงตัวผม) กระตือรือร้นอยากให้มีมากๆ เลยล่ะครับ

ฐานทัพดังกล่าวตั้งอยู่ในพื้นที่เขตร้อน พรั่งพร้อมไปด้วยอาวุธ ยุทโธปกรณ์
และมีความสามารถในการป้องกันภยันตรายได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่เว้นแม้แต่จากระเบิดนิวเคลียร์
ในการนี้ ด้วยร่วมมือจากเว็บไซต์ประกาศข่าวสารอย่างเป็นทางการของกันดั้ม หรือ “Gundum info”
ทำให้ผู้สนใจสามารถอ่านข้ออภิปราย จากการประชุมได้ทางเว็บไซต์ด้วยครับ
ได้ที่ http://www.gundam.info/content/423 (มีแต่ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้นครับ)

 
 

ความสำคัญของครอบครัว

ช่วง 10 วัน กลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กรุงเทพฯได้เผชิญกับความตึงเครียดและความวิตกกังวลอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน นักเรียนคนไทยที่ไปศึกษาต่อที่ญี่ปุ่นทุกคน ก็คงจะเป็นห่วงครอบครัว และเพื่อนที่อยู่ในกรุงเทพฯมากๆ จนไม่ว่าจะนั่งจะยืนก็คงจะรู้สึกทุกข์ร้อนใจไปด้วยนะครับ

นักเรียนของโรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะก็เช่นกัน คงต่างก็เก็บตัวอยู่กับบ้าน และนั่งเฝ้าหน้าจอโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ ติดตามการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

ทั้งโรงเรียนและบริษัทล้วนต่างต้องปิดทำการ เนื่องจากอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ คงมีคนจำนวนมากได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวนานๆ และได้พูดคุยกันในหลายๆ เรื่องๆ ที่ไม่สามารถคุยกันในเวลาปกติได้

อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่น่าวิตกกังวลแค่ไหน คนที่แค่ได้อยู่ด้วยกันก็ทำให้จิตใจเข้มแข็งขึ้นได้ก็คือครอบครัวนี่แหละครับ

นอกจากนี้ คนที่ไม่ว่าจะอยู่ห่างกันแค่ไหน แต่ก็อยู่ในใจเสมอ รวมถึงคนที่แค่เพียงได้ยินเสียง ก็ทำให้สดชื่นมีเรี่ยวแรง ก็คือครอบครัวอีกนั่นแหละครับ

แม้แต่อาจารย์ที่โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะเอง ก็ได้ยินว่าพยายามติดต่อกับครอบครัวที่ญี่ปุ่น และได้รับแรงใจ กำลังใจกลับมาด้วยครับ

อย่างไรก็ดี ในกรณีของครอบครัวผม ผมกับภรรยาที่ต่างคนต่างก็ยุ่งๆ อยู่ตลอดจนไม่ค่อยได้พูดคุยกัน ได้มีโอกาสคุยกันหลายเรื่อง ขณะดูโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ไปด้วย แต่พอวันหยุดเริ่มยืดเยื้อออกไป เรากลับรู้สึกว่า “เฮ้อ อยู่บ้านจนเบื่อแล้วนะ อยากออกไปทำงานเร็วๆ จัง”

ทั้งนี้ เนื่องจากการเอาแต่มองหน้าคนเดิมๆ มากเกินไป ในทางกลับกันอาจทำให้ความสัมพันธ์ย่ำแย่ลงได้ ต้องระวังด้วยนะครับ