RSS

Monthly Archives: August 2010

สัมภาษณ์นักเรียนทุนมงบุโชด้านกฏหมาย : ปองพล ประสาทมงคล (ไถ่)


ปองพล  ประสาทมงคล หรือ ไถ่ จบชั้นระดับมัธยมปลายจากโรงเรียนขอนแก่นวิทยายน
จบปริญญาตรีจากคณะนิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากที่เรียนจบก็ทำงานบริษัท
ที่ปรึกษากฎหมาย ประมาณ 4 ปี ครับ  จากนั้นลองก็มาสอบทุนรัฐบาลญี่ปุ่นดูปรากฏว่าสอบได้
ซึ่งทุนนี้จะเป็นทุนทำวิจัยทางด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ วิทยาเขตโตเกียว
ผมจะเดินทางไปศึกษาต่อในเดือนกันยายนนี้แล้วครับ

ขั้นตอนและวิธีการขอทุนมงบุโช

ปกติวิธีการขอทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นในเมืองไทย จะมี 2 แบบนะครับ แบบแรกคือ
ใช้วิธีการสอบคัดเลือกผ่านสถานทูต และแบบที่สองคือคัดเลือกผ่านมหาวิทยาลัย
แต่ทุนของผมนี้จะใช้วิธีคัดเลือกผ่านสถานทูต เขาเรียกว่ามงบุโชแบบสนามใหญ่ครับ
คือทุกปีช่วงเวลาประมาณเดือนพฤษภาคม ทางสถานทูตจะเปิดรับสมัครสอบตามทุน
ที่ผู้ขอทุนได้รับมา อย่างเช่น ทุนปริญญาตรี ทุนปริญญาโท ทุนปริญญาเอก ทุนทำวิจัย
พอผ่านขั้นตอนแรกได้ก็จะสอบสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษครับ

ข้อสอบยากไหม
ข้อสอบของทุนมงบุโชก็ไม่เชิงยากมากครับ ลักษณะของข้อสอบจะเป็นแบบ Speed Test
คือต้องทำให้ทันครับ ข้อสอบมีประมาณ 60-70 ข้อ ต้องทำให้เสร็จภายใน 1 ชั่วโมง
ดังนั้นจะต้องทำให้เร็ว

จำนวนที่รับ
ประมาณ 40-50 คนครับ  แต่ถ้าเป็นระดับทุนเรียนปริญญาตรีก็ประมาณ 10 คน

ก่อนหน้านี้เคยสมัครทุนอะไรไหมคะ
ไม่เคยครับ ทุนนี้เป็นการสมัครครั้งแรก และปีแรกครับ

ระยะเวลาที่จะไปเรียนที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ
เบื้องต้นคือผมได้ทุนลักษณะวิจัย ไปถึงต้องเรียนภาษาญี่ปุ่นก่อน 6 เดือน อีกปีนึงจึงไปทำวิจัย
กับสถานศึกษาต่างๆ เนื้อหาการทำวิจัยก็เกี่ยวกับกฎหมายครับ หัวข้อ บรรษัทภิบาลที่ดี หรือ
Corporate Governance ซึ่งตอนที่ผมทำงานบริษัทที่ปรึกษากฎหมายผมก็ดูแลเรื่องนี้อยู่ครับ
ถือเป็นการต่อยอดเรื่องงาน ส่วนถ้าอยากจะต่อโทก็ต้องไปสอบเข้าตามปกติครับ

ก่อนที่จะไปสอบชิงทุน มีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นหรือเคยเรียนมาก่อนหรือเปล่าคะ
เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมาก่อนบ้างครับที่ สสท. เมื่อประมาณปลายปีที่แล้ว พอได้ทุนก็เลยลาออก
จากงานประจำ มาเรียนภาษาญี่ปุ่นที่วาเซดะแบบเต็มเวลา โดยเริ่มเรียนใหม่ตั้งแต่ Day Class 1

ทำไมถึงเลือกเรียนกฎหมาย
จริงๆแล้วผมเรียนสายวิทย์มา แต่ว่าเป็นคนสนใจและชอบอะไรกว้างๆมากกว่าที่เรียนมา เกี่ยวกับสังคม
ประเด็นเหตุบ้านการเมือง และก็อยากเรียนอะไรที่มันเป็นวิชาชีพ คือเรียนแล้วสามารถใช้งานได้ก็เลย
เลือกเรียนกฎหมายครับ

การเตรียมตัวก่อนเดินทาง
เตรียมเรื่องภาษาญี่ปุ่นครับ และก็เนื้อหาที่จะทำวิจัย เราก็เตรียมไปบ้างบางส่วน

เคยไปญี่ปุ่นมาก่อนไหม
เป็นการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต ก็ตื่นเต้นดีครับ ส่วนหอพักเป็นของ Jasso
ทุนที่ได้รับจะรวมค่าที่พักและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

นอกจากเรื่องเรียนแล้ว อยากทำอะไรเมื่อไปญี่ปุ่น
ก็อาจจะไปเที่ยวตามเมืองต่างๆและไปเยี่ยมเพื่อนๆครับ

จินตนาการถึงประเทศญี่ปุ่นอย่างไร
ถ้าเป็นโตเกียวก็คงดูเร่งรีบเนื่องจากเป็นเมืองหลวง คนก็น่าจะใช้ชีวิตที่รีบๆ
และเครียดกว่าเมืองไทยนะครับ

เรียนจบแล้วมีแผนจะทำอะไรต่อ
ตั้งใจจะพยายามหาที่เรียนต่อปริญญาโทให้ได้ และกลับมาทำงานเมืองไทยครับ

นอกจากงานด้านกฎหมาย มีความสนใจอะไรเป็นพิเศษไหมคะ
สนใจด้านวัฒนธรรม ประเพณี หรือเพลงก็สนใจครับ แต่สนใจอาหารมากกว่าครับ


อาหารญี่ปุ่นที่ชอบ

ชอบนัตโตะ(ถั่วหมัก)ครับ  ซึ่งอาจจะเป็นอาหารที่คนไทยไม่นิยมเท่าไหร่ เป็นอาหารมักชนิดหนึ่ง
กลิ่นอาจจะแรง แต่ผมเคยอ่านในหนังสือเขาบอกว่ากินนัตโตะผสมไข่สดกินกับข้าว
ผมคิดว่าก็น่าจะดีกับสุขภาพนะ และเห็นการ์ตูนชินจังกินก็ ยืดๆ  … น่าอร่อยดี (หัวเราะ)
ผมก็เลยลองไปซื้อมากินเองเลยครับ อร่อยดีครับ

อาจารย์ที่โรงเรียนวาเซดะเป็นอย่างไรบ้างคะ
เซนเซที่สอนทุกคนก็ตั้งใจ คือมีการเตรียมการเรียนการสอนดีมาก เอาใจใส่นักเรียนอย่างจริงจัง
หากนักเรียนไม่เข้าใจอะไรก็ถามได้เลย เพื่อนร่วมชั้นเรียนก็ดีครับ ตั้งใจเรียน ขยันเรียน

แนะนำสำหรับคนที่กำลังอยากจะสมัครทุนมงบุโช
สำหรับทุนมงบุโช ประการแรกควรศึกษาเรื่องกำหนดการดีๆ เพราะจะเปิดรับสมัครปีนึงประมาณแค่
1 – 2 อาทิตย์เท่านั้น ลอง Search หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต และหาข้อสอบเก่าๆมาลองทำดู
ในเน็ตมีให้โหลดข้อสอบเก่าๆครับ

สิ่งที่ยากที่สุดในการเรียนภาษาญี่ปุ่น
เมื่อเทียบกับที่เราใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่  แต่พอมาเรียนภาษาญี่ปุ่น
ไวยากรณ์มันจะกลับกันอย่างสิ้นเชิง เวลาพูด หรือฟัง แกรมม่าร์จะสลับกัน
ทำให้ไม่คุ้นเคย ต้องอาศัยใช้บ่อยๆ ส่วนการจำคันจิ ก็ต้องท่องเยอะๆ ใช้บ่อยๆ
ถ้าใช้บ่อยจะจำได้ดีครับ

เนื่องจากเรียนหลักสูตร Day Class ทำให้ต้องตื่นเช้าทุกวันติดต่อกันเป็นเวลานานๆ
มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เราตื่นเช้า และสะกดจิตตัวเองให้มาเรียน

(หัวเราะ) โดยหลักสูตรของ Day Class ก็เป็นการบังคับเราไปในตัวครับ เพราะมีการบ้านทุกวัน
ต้องส่งการบ้านทุกเช้า ยังไงก็ต้องตื่นเช้ามาทำการบ้านและส่งการบ้านครับ

เคยโดดเรียนไหม
ไม่เคยโดดครับ แต่ส่วนใหญ่ที่ขาดเรียนก็เพราะมีธุระจำเป็นจริงๆครับ ผมไม่เคยเกเรนะครับ (หัวเราะ)
เคยคิดจะเกเรโดดเรียนเหมือนกันครับ แต่ก็ไม่ได้ทำครับ (หัวเราะ)

 

วาเซดะศรีราชา จัดสอบวัดความรู้ (Placement Test)สำหรับหลักสูตรปฐมฤกษ์

โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ (ศรีราชา) จัดสอบวัดความรู้พื้นฐานภาษาญี่ปุ่น (Placement Test) เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 และ 22 สิงหาคม 2553 ณ ศูนย์สอบชั่วคราว อาคาร BSC Bowling  สำหรับนักเรียนสมัครเรียนที่ศรีราชา จ.ชลบุรี ในปีการศึกษาแรก หลักสูตรปฐมฤกษ์ที่จะเปิดทำการเรียนการสอนในเดือนตุลาคมนี้ โดยการจัดสอบวัดความรู้นี้ จะจัดสอบเพื่อวัดพื้นฐานของนักเรียนที่ต้องการสมัครเรียน และมีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่น แบ่งเป็นการสอบข้อเขียน เพื่อวัดความรู้ด้านไวยากรณ์ญี่ปุ่น คำศัพท์ คันจิ การอ่าน การเขียน และสัมภาษณ์เป็นภาษาญี่ปุ่นเพื่อทดสอบทักษะการฟังและการสนทนา จากนั้นจะเลือกหลักสูตรที่เหมาะสมให้แก่ผู้เรียน เพื่อให้ได้เรียนตามหลักสูตรที่ตรงและเหมาะกับผู้เรียนต่อไป

 

สัมภาษณ์นักเรียนทุนมงบุโช : ศศิณี พฤกษ์ประเสริฐ (เบลล์)

ศศิณี  พฤกษ์ประเสริฐ หรือ เบลล์ สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย
จบระดับปริญญาตรีจากคณะวิศวกรรมศาสตร์คอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบันเบลล์เป็นนักเรียนหลักสูตรภาคกลางวันเร่งรัด Day Class 3 ได้รับทุนรัฐบาลญี่ปุ่น
(Monbusho Scholarship) เพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ณ  Osaka University
ขณะนี้กำลังเรียนภาษาญี่ปุ่นที่โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ (กรุงเทพฯ)
เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปศึกษาต่อในเดือนกันยายนนี้ค่ะ

ช่วยเล่าเกี่ยวกับทุนมงบุโชในสาขาที่เบลล์ได้รับทุนหน่อยค่ะ
เบลล์สมัครทุนนี้ตั้งแต่เรียนปี 4 ค่ะ  ระหว่างรอผลก็มาเรียนภาษาญี่ปุ่นเตรียมไว้ก่อนค่ะ
จนประกาศผลว่าได้รับคัดเลือก ซึ่งเบลล์ก็จะเดินทางไปญี่ปุ่นในเดือนกันยายนนี้
สำหรับทุนนี้ก็แบ่งเป็นประเภทของผู้รับทุนค่ะ ก็จะมีทุนระดับปริญญาตรี  ทุนระดับปริญญาโท
ทุนนักศึกษาวิจัย  ของเบลล์ได้รับทุนระดับปริญญาโทค่ะ ลักษณะการสอบเป็นแบบ
University Recommended คือ ติดต่อกับทางมหาวิทยาลัยที่มีโครงการ
เมื่อทางมหาวิทยาลัยตอบรับแล้วก็ติดต่อกับทุนมงบุโชเพื่อขอเข้ารับทุนนี้

ทุนนี้เป็นโครงการ Twenty First Century สาขา Engineering Science
ใช้ระยะเวลาในการเรียน 2 ปี  เรียนเป็นภาคภาษาอังกฤษ
เบลล์รู้จักทุนนี้จากการที่มีเจ้าหน้าที่มาแนะนำที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
และเป็นทุนให้เปล่า ไม่ต้องชดใช้ทุนค่ะ


ก่อนนี้เคยขอทุนอะไรมาก่อนบ้าง

เป็นการขอทุนครั้งแรกเลยค่ะ  ส่วนสาขาที่เบลล์สมัครไปนี่เขารับ 5 คนค่ะ

คุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับทุนต้องเป็นอย่างไรบ้างคะ
ผลการเรียนต้องได้เกณฑ์ตามมาตรฐานที่ตั้งไว้ ซึ่งจะเป็นเกรดเฉลี่ยตามเกณ์การคิด
แบบญี่ปุ่นน่ะค่ะ  น่าจะประมาณ 3.00 ขึ้นไปนะคะ  คะแนนสอบโทเฟลต้องมากกว่า 550 คะแนน
เนื่องจากเป็นโปรแกรมอินเตอร์ เลยไม่เน้นภาษาญี่ปุ่นมากนัก แต่ที่เบลล์มาเรียนภาษาญี่ปุ่น
ก็เพื่อเอาไว้ใช้ในชีวิตประจำวันค่ะ  นอกจากนี้ก็มีสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ
เขาจะแบ่งเป็นคำถามแนววิชาการ และคำถามเพื่อดูลักษณะนิสัยของเรา
เช่นทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยบ้างไหม ซึ่งเบลล์ก็ทำกิจกรรมชุมนุมของภาควิชา
อย่างงานจัดงานต่างๆ  งานรับน้อง  ปีใหม่  เบลล์ทำหน้าที่เป็นเหรัญญิกค่ะ

หลังจากเรียนจบมีเป้าหมายจะทำอะไรต่อคะ
คิดว่าอาจจะทำงานเป็นนักวิจัย หรือ ไม่ก็ทำงานบริษัทญี่ปุ่นค่ะ


ก่อนหน้าที่จะมาเรียนภาษาญี่ปุ่นที่วาเซดะ เบลล์เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมาก่อนหรือเปล่า

เคยเรียนเป็นวิชาเลือกที่มหาวิทยาลัยค่ะ ก็มีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นมาบ้างแล้ว
ทีนี้ก่อนจะเดินทางไปญี่ปุ่น ก็อยากจะเรียนเพิ่มเติมน่ะค่ะ มีเพื่อนแนะนำให้มาเรียนที่วาเซดะ
เพราะเพื่อนเคยเรียนที่นี่มาก่อน


มีการเตรียมตัวอะไรบ้างก่อนเดินทางไปเรียนที่ญี่ปุ่น

เตรียมทำวีซ่า เอกสารต่างๆ ซึ่งทุนนี้จะครอบคลุมค่าเดินทางทั้งหมด ค่าเครื่องบิน
ค่ากินอยู่เป็นรายเดือน ส่วนที่พักต้องจัดการหาเอง
ที่พักของเบลล์ที่โอซาก้าก็เป็นอพาร์ตเม้นท์เช่ารายเดือนค่ะ

ทางบ้านสนับสนุนเรื่องการเรียนอย่างไรบ้างคะ
ถ้าเกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่นนี่ ทางบ้านก็สนับสนุนเต็มที่ค่ะ
เพราะเห็นว่าภาษาญีปุ่นเป็นภาษาที่สำคัญ
ถึงแม้ว่า เบลล์จะไม่ได้ทุนนี้ ก็ยังสามารถเอาไปใช้งานได้จริงในอนาคต

บรรยากาศการเรียนและชีวิตที่โรงเรียนวาเซดะ
ประทับใจอาจารย์ ที่มีความเป็นกันเอง ใส่ใจ ส่วนเพื่อนๆร่วมชั้นก็น่ารัก
เพื่อนๆในห้องมีหลายกลุ่มหลายอายุ หลายอาชีพ แต่ทุกคนก็เป็นมิตร นิสัยดีมีน้ำใจมากค่ะ

เคยไปญี่ปุ่นมาก่อนไหม
ไม่เคยค่ะ  ครั้งนี้เป็นการเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต และต้องเดินทางคนเดียวด้วย


ประเทศญี่ปุ่นในความรู้สึกของเรา มีมุมมองต่อประเทศนี้อย่างไรคะ

ก็คิดว่าเป็นประเทศที่ค่อนข้างคล้ายกับบ้านเรานะคะ
ในแง่ของเรื่องการอ่อนน้อมถ่อนตนต่อผู้อาวุโสกว่าหรือเรื่องมารยาท
การเคารพผู้ใหญ่ และเป็นประเทศที่ค่อนข้างมีระเบียบ


สิ่งที่ตั้งใจอยากจะทำเป็นพิเศษ นอกเหนือจากเรื่องเรียน

ถ้านอกเหนือจากเรื่องเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย  ก็อยากจะเรียนภาษาญี่ปุ่นเพิ่มค่ะ
อยากเรียนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  ส่วนนอกเหนือจากนี้ยังไม่ได้คิดเลยค่ะ
อยากเน้นที่เรื่องเรียนก่อน ยังไม่มีแผนเรื่องไปเที่ยว หรือกิจกรรมอื่นๆค่ะ

ทำไมจึงเลือกเรียนวิศวกรรมศาสตร์คอมพิวเตอร์คะ
เป็นคณะที่ส่วนใหญ่ผู้ชายน่าจะเลือกเรียนมากกว่า

วิศวกรรมคอมพิวเตอร์เดี๋ยวนี้ผู้หญิงก็เรียนกันเยอะนะคะ  เพราะสาขานี้จะไม่เหมือนวิศวะฯอื่นๆ
ตรงที่ไม่ได้ลงไปคลุกคลีกับเครื่องจักร ส่วนใหญ่จะอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์
ถ้าเทียบกับวิศวกรรมสาขาอื่นๆ คิดว่าผู้หญิงก็น่าจะมีโอกาสพอๆกับผู้ชายค่ะในการทำงานค่ะ

 

Student Talk : ภูษิต ตุงคง (ดำ)


สวัสดีครับ ผมชื่อ ภูษิต  ตุงคง ชื่อเล่น ดำ จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา
จากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน ( กศน. นะครับ )จากนั้นมาเรียนต่อในระดับ
ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ( ปวส. ) คณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด
ที่วิทยาลัยเทคนิคตราด เมื่อเรียนจบแล้วก็เข้ามาเรียนต่อในระดับปริญญาตรี
คณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด ที่มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต หลังจากเรียนจบ
การศึกษาในระดับปริญญาตรีแล้ว ผมก็ลงเรียนภาษาญี่ปุ่นที่สมาคมส่งเสริม
เทคโนโลยีไทย – ญี่ปุ่น ( สสท. ) ระยะเวลาประมาณครึ่งปี
เมื่อเทียบกับที่วาเซดะ ก็คือ จบหลักสูตร Day Class 2 นะครับ

เรียนที่วาเซดะหลักสูตรอะไรมาบ้าง
หลักสูตรแรกที่ผมเริ่มเรียนที่วาเซดะ คือ หลักสูตร Day Class 3 ครับ
เริ่มเข้าเรียนเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2553  นี่เองครับ  ปัจจุบันเรียนอยู่
Day Class 4 ครับ  และคาดว่าจะเรียนต่อ Day Class 5 ในเทอมหน้าด้วย
ผมจะพยายามเรียนให้จบภายในสิ้นปีนี้ครับ

ก่อนจะตัดสินใจละทิ้งงานการทุกอย่าง แล้วตั้งใจมาเป็นนักเรียนประจำที่วาเซดะ
เคยทำงานเกี่ยวกับอะไร  แล้วสาเหตุที่ตัดสินใจลาออก
เพื่อลงทุนเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียวคืออะไรคะ

ก่อนหน้าที่จะเรียนที่วาเซดะ ผมทำงานอยู่บริษัทมิยาซากะ คอมโพเน้นท์ ( ประเทศไทย ) จำกัด
บริษัทฯ ดำเนินการเกี่ยวกับการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ โดยสำนักงานและโรงงานตั้งอยู่ที่อำเภอ
ปลวกแดง จังหวัดระยอง  ติดกับเขตอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีครับผมทำงานที่บริษัทฯ นี้ 5 ปี
พยายามลองสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นในระดับ 2 มาสองปีซ้อนเลย แต่ก็ยังไม่ได้ซะที
ก็เลยตัดสินใจมาเรียนต่อ  เพื่อเป้าหมายคือ จะต้องสอบวัดระดับ 2 ให้ได้
หวังว่าการสอบวัดระดับครั้งหน้า ผมจะสอบผ่านนะครับ
แต่ด้วยศักยภาพการสอนของวาเซดะ ผมคิดว่าผ่านชัวร์

ทำไมจึงเลือกเรียนที่วาเซดะ
ผมเคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมา  2 – 3 โรงเรียนแล้วนะครับ แต่ละที่ก็มีวิธีการสอนที่ไม่เหมือนกัน
เป็นธรรมดาที่อาจารย์ก็สอนแตกต่างกันออกไป  ประกอบกับเมื่อ 2 -3 ปีก่อนหน้านี้ ผมพยายาม
ลองหาโรงเรียนภาษาญี่ปุ่น เพื่อจะหาที่เรียนต่อ  ผมก็ Search หาทางอินเตอร์เน็ตและสอบถาม
จากเพื่อน และคนที่รู้จักก็แนะนำว่าถ้าอยากเรียนแบบจริงๆ จังๆ ก็ให้มาเรียนที่วาเซดะดีกว่า
เพราะว่ามีชื่อเสียงเรื่องความเข้มงวดกับนักเรียน และความตั้งใจของอาจารย์ที่อยากให้นักเรียนเก่ง
เและสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียนในห้องเรียน แล้วสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง
ผมก็ลองเข้ามาสอบ Placement Test  เพื่อเลือกชั้นเรียนที่เหมาะสมกับพื้นฐานความรู้
ปรากฏว่าก็ได้เรียนหลักสูตร Day Class 3 ครับ

บรรยากาศการเรียนการสอนในห้องเรียน เป็นอย่างไรบ้าง
บรรยากาศการเรียนการสอนในห้องเรียนของวาเซดะดีมากครับ อาจารย์ทุกท่านใจดี
ถึงแม้บางครั้งรู้สึกว่าอาจารย์เคี่ยวเข็ญมาก แต่ก็คงเป็นเพราะอาจารย์ทุกคนอยากให้นักเรียน
สามารถใช้ภาษาญี่ปุ่นได้จริง และเก่งขึ้นนะครับ ส่วนเพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียนทุกคน
นิสัยดีมาก เป็นกันเอง  เมื่อทุกคนมีความรู้สึกเป็นกันเองรวมทั้งอาจารย์ก็ให้ความเป็นกันเอง
ก็เลยทำให้บรรยากาศการเรียนการสอนเป็นไปอย่างสนุกสนานครับ

แรงบันดาลใจที่ทำให้ตัดสินใจเรียนภาษาญี่ปุ่น
แรงบันดาลในที่ทำให้ตัดสินใจเรียนภาษาญี่ปุ่น คงเป็นเพราะมีคนๆ หนึ่งได้เข้ามาให้ชีวิตผมมั้งครับ ( พูดเล่น )
เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วก็คิดว่าจะเอาอย่างไรดีกับชีวิต   อีกอย่างหนึ่งคือพอดีได้รู้จักกับเพื่อนที่เค้าทำงาน
บริษัทญี่ปุ่น เค้าบอกว่าระบบหรือการทำงานแบบญี่ปุ่นน่าจะดีกว่า แบบอื่นๆ นะครับ
( ผมคิดว่าระบบการทำงานของแต่ละประเทศหรือแต่ละองค์กรก็ดีแตกต่างกันไปนะครับ )
ก็เลยเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างจริงจังครับ

สิ่งประทับใจสำหรับชีวิตประจำวันที่วาเซดะ
รู้สึกประทับใจมากๆกับชีวิตประจำวันที่วาเซดะ  ประทับใจอาจารย์และเพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียน
รวมทั้งน้องๆหรือพี่ๆที่เรียนอยู่ในแต่ละ Class  ทุกคนมีความเป็นกันเองมาก คุยด้วยแล้วสนุก
อาจารย์ทุกคนมีความเป็นกันเองครับ ใจดี  เพื่อนๆ ก็เหมือนกันครับ และที่ขาดไม่ได้คือพี่ Staff
ทุกคนที่ทำงานที่วาเซดะ พี่ๆทุกคนใจดีมาก  มีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็สามารถปรึกษาได้ตลอด
คุยด้วยแล้วสบายใจ  ส่วนพี่คนนี้ต้องขอออกนามหน่อย พี่พรที่แสนใจดีของพวกเรา คุยสนุก
ใจดีด้วย  และสุดท้ายที่ประทับใจ คือ อาจารย์ของวาเซดะ  เฮ้อ … .ทำไมน่ารักจังนะ…

อยากไปเที่ยวที่ไหนที่ญี่ปุ่น  และ … อยากไปกับใคร ?
อยากไปเที่ยวแหล่งอาบน้ำแร่ที่ ฮาโกะเนะ ครับ บรรยากาศดีมากครับ ผมเคยไปมาครั้งหนึ่ง
โรแมนติกมาก ยิ่งถ้าได้ไปกับอาจารย์ของวาเซดะ ( อาจารย์…. )ไม่บอกหรอกว่าคนใหน
ก็จะยิ่งดีมากครับ คงจะมีความสุขและติดตาตรึงใจไปชั่วนิรันดร์กาล ( ฮิๆๆๆ )

อาหารญี่ปุ่นที่ชอบรับประทาน และ … อยากรับประทานกับใคร ?
อาหารญี่ปุ่นที่ชอบรับประทาน ก็มี อิกะ โตริยะกิ, เท็มปุระ, คะนิ นิกิริ, คะเร ไรซ์ซึ ฯลฯ
อยากรับประทานกับใคร ก็คงเป็นอาจารย์ของวาเซดะท่านใดท่านหนึ่งที่เราแอบชอบมั้งครับ
อ๊ะเย๊ย … ไม่ใช่…. ทานกับเพื่อนๆ และอาจารย์ทุกคนด้วยครับ   คงอร่อยดีนะ (ฮ่าๆๆ)

ฝากอะไรถึงเพื่อนๆ รุ่นน้องๆ ที่กำลังเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่
สิ่งที่อยากจะฝากถึงเพื่อนๆรุ่นน้องที่กำลังเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่  ก็อยากจะฝากบอกว่า
ในตอนแรกที่ผมเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น  ประมาณช่วงสัปดาห์แรก   ผมก็เคยรู้สึกท้อแท้ครับ
ทำไมมันยากอย่างนี้ ถึงขั้นที่ว่าครั้งหนึ่งพอกลับถึงบ้านผมโยนหนังสือเรียนทิ้ง
และพูดกับเพื่อนว่าไม่เรียนแล้ว ยากมาก แต่ในที่สุด ผมก็อดทนพยายามมานะบากบั่นเรียนมาเรื่อยๆ ครับ
พอระยะเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเดือน ก็เริ่มสนุกครับ  เพื่อนๆ ร่วมชั้นก็เริ่มสนิทกัน
อาจารย์ก็เป็นกันเอง ก็เลยรู้สึกเหมือนกับว่ายิ่งเรียนยิ่งสนุก
รู้สึกว่าระยะเวลาเรียนในแต่ละวันเหมือนสั้นเกินไปซะด้วยซ้ำ

สุดท้ายนี้ก็ขอให้เพื่อนๆหรือรุ่นน้องๆ ที่กำลังเรียนภาษาญี่ปุ่นพยายามมุ่งมั่น
เอาใจใส่ในการเรียนกันมากๆ นะครับ ขยันอ่านหนังสือ ทำการบ้าน  ยิ่งอ่านมาก เขียนมาก
และทำแบบฝึกหัดมากๆ  ก็จะยิ่งทำให้เราเก่งภาษาญี่ปุ่น ในด้านไวยกรณ์ หรือการอ่าน
การเขียนนะครับ สำหรับการพูดนั้นก็ต้องพยายามหัดพูดครับ พยายามหาเพื่อนคนญี่ปุ่น
หรือพยายามคุยกับอาจารย์ให้มากๆนะครับ ยิ่งฝึกพูดมากๆก็จะทำให้เราชินกับการใช้
ภาษาและไม่เขินอายครับ  ต้องไม่อายที่จะพูดภาษาญี่ปุ่น เพราะถ้าเราไม่กล้าที่จะพูด
หรือกลัวพูดผิด นั้นแหละครับคืออุปสรรคของเรา

皆さん、頑張りましょう。

 

เรียงความภาษาญี่ปุ่นในหัวข้อ เพื่อนและครอบครัวของฉัน เรื่อง “ ทริปปีนเขา ” โดย คุณอัญธิภา กู้เจริญกิจอนันต์ นักเรียนหลักสูตรกลางวันเร่งรัด Day Class 3

ในชั่วโมงเรียนของนักเรียนหลักสูตรกลางวันเร่งรัด (Day Class 3) จะมีวิชาการเขียนเรียงความ (作文)
เพื่อฝึกให้นักเรียนได้เขียนประโยค ฝึกการใช้ไวยากรณ์และทบทวนคำศัพท์ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญ
ของการเรียนภาษาญี่ปุ่น

เรียงความในหัวข้อ เพื่อนและครอบครัวของฉัน
เรื่อง  “ ทริปปีนเขา ”
โดย คุณอัญธิภา กู้เจริญกิจอนันต์ นักเรียนหลักสูตรกลางวันเร่งรัด Day Class 3

ハイキングのトリップ

これは5年前の冬、主人の家族とカオヤーイへハイキングに行った時とった写真だ。
その時は8連休だったから、私たちは家族でキャンプへ行くことに決めた。カオヤーイは
自然がきれいだし、動物も多いし、たきもきれいだし、それにくうきがとてもいい。

ハイキングの途中でちょっと休んでいたので、この写真がとてた。実はみんなつか
れていたのに、写真をとった時、みんなは元気になった。その時、私はみかんを食べ
ながら笑っていたので、みかんのたねを食べてしまった。みかんを持っている人は私だ。
ピンクのぼうしをかぶっている3人が主人の妹、ビーだ。今はMerskという会社で働いている。
まだどくしんだ。すわっている男の人は主人の弟、ボールだ。今は結婚している。
それに赤ちゃんもいる。黄色のシャツを着ている人が主人の母だ。ずっと専業主婦をしている。
とてもやさしい。さいご、立っている男の人が主人、ボーイだ。今、自分の会社で働いている。
主人はとてもやさしいし、まじめな人だ。それに私と結婚したので、がまんつよい人だと思う。

時間があったら、私たちはいつもいっしょにりょこうに行く。この3連休ははシャ-ン島へ行った。
とても楽しかった。

นี่คือรูปที่ถ่ายตอนไปปีนเขาใหญ่กับครอบครัวของสามีในฤดูหนาวเมื่อ 5 ปีที่แล้ว
ตอนนั้นเป็นวันหยุดติดต่อกัน 8 วัน พวกเราจึงตัดสินใจไปแคมป์กันเป็นครอบครัว
ที่เขาใหญ่มีธรรมชาติที่สวยงาม สัตว์มากมาย น้ำตกก็สวย และอากาศก็ดีมากอีกด้วย

ระหว่างที่ปีนเขาเราหยุดพักกลางทางกันนิดหน่อยจึงได้ถ่ายรูปนี้ อันที่จริงทุกคนกำลังเหนื่อย
แต่ตอนถ่ายรูปทุกคนกลับร่าเริงขึ้นมา ตอนนั้นฉันกินส้มไปหัวเราะไป จึงกลืนเม็ดส้มเข้าไปด้วย
ดังนั้นคนที่สวมหมวกสีขาวและถือส้มอยู่ก็คือฉันเอง คนที่ใส่หมวกสีชมพูคือน้องสาวของสามี ชื่อบี
ตอนนี้ทำงานอยู่ที่บริษัท MERSK ยังโสดอยู่ ผู้ชายคนที่นั่งชื่อบอล ตอนนี้แต่งงานแล้ว และมีลูก
เล็ก ๆ อีกด้วย คนที่สวมเชิ้ตสีเหลืองคือแม่ของสามี เป็นแม่บ้าน ใจดีมาก ผู้ชายที่ยืนข้างหลังสุด
คือสามี ตอนนี้ทำงานในบริษัทของตนเอง  สามีเป็นคนใจดีและขยันขันแข็งมาก
นอกจากนี้ เพราะว่าเขาแต่งงานกับฉัน จึงคิดว่าเขาเป็นคนที่มีความอดทนสูง

เมื่อมีเวลาว่าง พวกเรามักจะไปเที่ยวด้วยกันเสมอ
วันหยุด 3 วันที่ผ่านมา เราไปเกาะช้างกัน สนุกมากค่ะ

 

แนะนำอาจารย์ใหม่ : อาจารย์โยโกะ โทโยมะ

ในภาคการศึกษาที่ 3 นี้ โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญีปุ่นวาเซดะ ได้ต้อนรับอาจารย์ใหม่สองท่านค่ะ
ดังนั้น เราจึงอยากจะแนะนำอาจารย์ทั้งสองท่านให้นักเรียนได้รู้จักกัน

เริ่มกันที่อาจารย์ท่านแรก อาจารย์โยโกะ โทโยมะ

สวัสดีค่ะทุกคน ดิฉันชื่อ โยโกะ โทยะมะ มาจากจังหวัดไซตะมะ  ชอบท่องเที่ยว และเล่นกีฬาค่ะ
ตอนท่องเที่ยวในญี่ปุ่นก็จะขับรถเล่นบ้าง ไปบ่อน้ำร้อนบ้าง จังหวัดที่ชื่นชอบมากเป็นพิเศษเลยก็คือ
ฮอกไกโดกับเกียวโตค่ะ

ก่อนเดินทางมาเมืองไทย อาจารย์โทโยมะเคยทำงานอะไรมาก่อนคะ
ดิฉันทำงานเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ค่ะ ทำซอฟแวร์เพื่อรัน USB card reader  ส่งรังสีอินฟาเรดอะไรแบบนี้
เป็นพวกซอฟต์แวร์ที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ ปรินท์เตอร์ ทีวีเป็นหลักค่ะ

มาอยู่เมืองไทยได้สักพักแล้ว การใช้ชีวิตในกรุงเทพ ฯ เป็นอย่างไรบ้างคะ
รู้สึกตกใจที่กรุงเทพฯสวยงามและสะดวกสบายมากกว่าที่คิดไว้ค่ะ ใช้ชีวิตได้ง่ายมากๆ
แต่ว่าอากาศภายนอกที่ร้อนกับภายในโรงเรียนวาเซดะที่หนาวเนี่ยแตกต่างกันมากค่ะ
ก็เลยต้องระวังไม่ให้เป็นหวัด ตอนนี้อยากคุ้นเคยกับความเผ็ดของอาหารไทย
และกินให้ได้เยอะ ๆ ค่ะ

กิจกรรมในวันหยุด ทำอะไรบ้างคะ
ส่วนใหญ่ก็ทำงานค่ะ ถ้ามีเวลาก็จะดูดีวีดี อ่านหนังสือ ชอบ GHIBLI ค่ะ ถ้ามีเวลาว่างมากขึ้น
ก็อยากเรียนภาษาไทยกับวาดภาพค่ะ แล้วถ้ามีเวลาเยอะ ๆ ก็อยากจะท่องเที่ยวเมืองไทยค่ะ

อยากไปเที่ยวที่ไหนมากที่สุดในเมืองไทยคะ
แน่นอนว่าอยากไปทุกที่เลยค่ะ แต่ว่าอยากไปไหว้ศาลพระพรหมเอราวัณที่ออกทีวีที่ญี่ปุ่นด้วยนะคะ
แล้วก็อยากไปอุทยานแห่งชาติเอราวัณที่จังหวัดกาญจนบุรีมากเลยค่ะ เพราะเพื่อนบอกว่าสนุกมากเลย

สุดท้ายนี้ขอให้อาจารย์ช่วยแนะนำสำหรับนักเรียนที่อยากเก่งภาษาญี่ปุ่น
ขอให้พูดภาษาญี่ปุ่นกับคนญี่ปุ่นเยอะ ๆ นะคะ ไม่ต้องกลัวว่าจะพูดผิด
ถ้าไม่สามารถสื่อสารในสิ่งที่อยากพูดได้ ก็ขอให้ลองพูดสิ่งที่อยากพูดโดยใช้รูปสำนวนแบบอื่น ๆดูค่ะ
พยายามเข้านะคะ มาคุยกันเยอะ ๆค่ะ

 

แนะนำอาจารย์ใหม่ : อาจารย์มิโนรุ คุโระดะ

สวัสดีครับ ผมชื่อ มิโนรุ  คุโระดะ ครับ เป็นคนญี่ปุ่นครับ บ้านอยู่ที่ย่านอิเคะบุคุโระ กรุงโตเกียว ตอนนี้โสดครับ
จากโตเกียว ย้ายมาใช้ชีวิตในกรุงเทพ  เป็นอย่างไรบ้างคะ
ที่เมืองไทย เย็นสบายกว่าหน้าร้อนของโตเกียวอีกนะครับ คนไทยทุกคนก็ใจดีและรู้สึกสบาย ๆ ครับ

ชมกันแบบนี้ต้องชอบเมืองไทยแน่เลย มีเรื่องที่ประทับใจเป็นพิเศษบ้างไหม
ที่ประทับใจก็มีสองเรื่องครับ  อย่างแรกเลยก็คือ ค่าแท็กซี่ถูกดี  แล้วก็หมานอนหลับปุ๋ยเลย (ตามข้างทาง)

กิจกรรมในวันว่างๆ
เวลาว่างก็จะเล่นกีฬาบ้าง ไปหาเพื่อนบ้างครับ

อยากไปเที่ยวที่ไหนในเมืองไทยคะ
อยากไปเที่ยวทะเลครับ
อาหารไทยถูกปากไหมคะ อาหารไทยที่ทานบ่อย ๆ คือเมนูอะไร
อาหารไทยที่ทานบ่อย ๆ คือต้มยำทะเลครับ แต่แพ้กุ้งนะครับ

ช่วยแนะนำนักเรียนที่อยากเก่งภาษาญี่ปุ่นหน่อยนะคะ
“พูด ฟัง อ่าน” 3 ทักษะนี้จำเป็นมากครับ พูดเยอะ ๆ ตั้งใจฟังดี ๆ และอ่านมาก  ๆ
และเรียนอย่างสนุกสนานด้วยกันนะครับ

 

ตัดผมเสร็จทันใจ ภายใน 10 นาที

นี่คือร้านตัดผมซึ่งกำลังเป็นที่นิยม  ด้วยบริการตัดผมเสร็จเร็วทันใจ ภายในเวลา 10 นาที !
สนนราคา 1,000 เยนต่อหัว (ราวๆ 370 บาท) ซึ่งบริการของที่นี่จะบริการเฉพาะตัดแต่งทรงผมเท่านั้น
ไม่มีบริการสระผมหรือบริการโกนหนวด

โดยวิธีการเข้ารับบริการ  ลูกค้าจะต้องบริการตัวเองด้วยการซื้อตั๋วจากตู้หยอดเหรียญ
และเมื่อนั่งประจำที่พร้อมรับบริการ คุณลูกค้าก็สามารถนั่งเพลินๆ ด้วยการชมข่าวจากจอทีวีแอลซีดีที่อยู่ตรงหน้าได้สบายใจเฉิบ

ร้านตัดผม QB House แห่งนี้สามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายหลักๆโดยเฉพาะบรรดา Business Man
ที่สุดแสนจะ Busy และมีชีวิตที่รีบเร่ง  ขณะนี้เขากำลังจะขยายสาขาเพิ่ม ณ ประเทศสิงคโปร์และฮ่องกงอีกด้วยค่ะ


แปลบทความจาก วารสาร Japan Close Up ฉบับเดือนสิงหาคม 2010

 
1 Comment

Posted by on 08/17/2010 in Life in japan, News, Variety

 

Student Talk ติณณวัฒน์ เนื่องจำนงค์ (ฟีล์ม) นักศึกษาไทยที่ไปป๊อบปูล่าร์ที่ญี่ปุ่น


ติณณวัฒน์ เนื่องจำนงค์ หรือ ฟีล์ม เรียนจบระดับชั้นมัธมปลายจากโรงเรียนสารสาสน์เอกตรา
จบปริญญาตรีคณะศิลปะศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ (SILS) จากมหาวิทยาลัยวาเซดะ  โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ขณะนี้กำลังเตรียมตัวเพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาโทอยู่ที่ญี่ปุ่นเช่นกันค่ะ

หลังจากที่เรียนจบม .ปลายที่เมืองไทย ฟิล์มมาเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่ญี่ปุ่นได้อย่างไรคะ
ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว จำได้ว่าตอนนั้นผมก็ยังงงๆกับชีวิตก็ตัวเองอยู่เหมือนกัน รู้แค่เพียงว่าอยากไปญี่ปุ่น
คือเป็นที่ไหนก็ได้ ขอแค่เป็นญี่ปุ่น คือช่วงนั้นก็กำลังเบื่อๆกับชีวิตประจำวันของตัวเองที่เมืองไทย
และบังเอิญคุณแม่ไปเจอ Waseda Education Thailand ที่บูธงานศึกษาต่อต่างประเทศ
แล้วก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณชูอิชิ  ทาคาฮาชิ ซึ่งได้แนะนำให้ลองสมัครที่ วาเซดะ หรือไม่ก็ APU
ผมก็ลองสมัครไป ซึ่งโชคดีที่ได้ทั้งสองที่เลยนะครับ แต่ผมตัดสินใจเลือกที่วาเซดะ เพราะคนไทยน้อยกว่ามาก
แล้วก็อยู่ในโตเกียวด้วย จำได้ว่าตอนนั้น เดินทางไปเรียนต่ออย่างไร้จุดมุ่งหมาย
เนื่องจากว่ายังไม่ได้มีแพลนอะไรไว้ในหัวเลย

ปัจจุบันกำลังจะศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ญี่ปุ่น ช่วยเล่าถึงหลักสูตรที่เรียน
และ
วิชาที่เรียนเป็นอย่างไร เรียนอะไรบ้าง
คะ
ตอนนี้กำลังสมัครเข้าระดับปริญญาโทอยู่ครับ สมัครไว้สองที่กันเหนียว มหาวิทยาลัยหนึ่งก็ตอบรับแล้วครับ
ส่วนอีกที่คือ มหาวิทยาลัยวาเซดะ คณะที่จะเรียนต่อคือ Graduate School of Asia-Pacific Studies (GSAPS)

แปลเป็นภาษาไทยง่ายๆก็คือ การศึกษาเกี่ยวกับภูมิภาคเอเซีย สาขาหลักที่ลงไว้ก็คือ
Telecommunications Economics, Business and Policy Evaluation

ซึ่งให้ความสำคัญกับการสื่อสารในรูปแบบต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อ ธุรกิจและเศรษฐกิจ

ส่วนอีกที่ที่สมัครไว้ และอยากจะไปมากๆๆๆๆ ก็คือที่ Nagoya University
คณะ
Graduate School of International Development (GSID)
สาขา International Development (DID) ซึ่งเน้นหนักไปในด้านการพัฒนาประเทศที่กำลังพัฒนา
โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาทางทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เพื่อนบ้านเรานี่เอง) ซึ่งผมคิดว่าน่าสนใจมาก
เพราะผมเชื่อว่าอีกไม่นาน ประเทศเพื่อนบ้านของเราจำเป็นกำลังสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ในขณะที่ความมั่นคง
ของแรงงานจีนกำลังลดลงทุกวัน  ทั้งนี้ทั้งนั้น เหตุผลหลักๆเลยที่อยากไปนาโกยา ก็เพราะตอนนี้เริ่มเบื่อโตเกียวแล้ว

และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ จะได้ไปช่วยที่บ้านทำงานด้วย เพราะมีออฟฟิศของบริษัทครอบครัวประจำอยู่ที่นาโกยา
เรียนไปทำงานไป แอบพ่อเที่ยวได้ด้วย ยิ่งปืนนัดเดียวได้นกเต็มเลย (หัวเราะ)

อยู่ญี่ปุ่นมากี่ปีแล้วคะ และช่วยเล่าชีวิตที่ญี่ปุ่น หลังจากที่อยู่อาศัยมาในระยะหนึ่ง
ผมอยู่ญี่ปุ่น 4 ปีเต็มๆแล้วครับ ถ้าจะให้เล่ากันจริงๆมันจะยาวมากๆเลย  เริ่มจากตอนเข้ามาเป็นน้องเฟรชชี่ปีหนึ่ง
เป็นช่วงที่ทรมานมาก ภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ได้ คนญี่ปุุ่นเขาคิดอะไรกันก็ไม่เข้าใจเพราะเขาแตกต่างกับเรามากๆ
ผมเริ่มต้นชีวิตที่ญี่ปุ่นจากหอพักชายวาเคจุกุ ที่ขึ้นชื่อเลยว่าโหดเหี้ยมมากๆ(ฮ่าๆๆ) เนื่องจากการจัดการระบบต่างๆของหอพัก
ค่อนข้างอย่างมีระเบียบมากๆ โดยเฉพาะเรื่องของความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง รุ่นน้องต้องฟังรุ่นพี่ทุกอย่าง สั่งให้ทำอะไรก็ทำ
ไม่อย่างนั่นจะโดน ignore แน่นอน ผมก็โดนมาแล้วครับ   พอขึ้นปีที่สองผมก็เริ่มเข้าชมรม ทำกิจกรรมต่างๆ
ช่วยงานของทางมหาวิทยาลัย … ส่วนเรื่องเรียนก็เอาแค่พอไปได้ เน้นกิจกรรมเพื่อหาประสบการณ์มากกว่าครับ
ซึ่งมันก็สนุกดีนะ ได้เรียนรู้สิ่งที่สร้างสังคมญี่ปุ่น เรียนรู้ระบบระเบียบของเขา รู้จักวิธีการทำงานของเขา
ข้าใจความคิดของคนญี่ปุ่นมากขึ้น ในทางกลับกันก็เริ่มตั้งคำถามตัวเอง ว่าเราทำอะไรอยู่กันแน่ เรามาที่ญี่ปุ่นเพื่ออะไรกันแน่


ปีที่สองคือ วันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยนเป็นปีที่ตัวเองมีจุดมุ่งหมาย สร้างความฝันของตัวเองเพื่อเดินตามไป
จุดหมายหลักๆเลย ก็คือ อยากจะเป็นประธานชมรมที่ตัวเองทำกิจกรรมอยู่ เป็นคนที่แม้แต่คนญี่ปุ่นก็เคารพ รัก
กลับมาประเทศไทยอย่างมีค่า ไม่ใช่กลับมาอย่างไร้ตัวตน  ผมทำงานกระทั่งตั้งโต๊ะขายขนมครกไทยๆ ในงานมหาวิทยาลัย
ทำแบบงูๆปลาๆ บริหารกันมั่วๆซั่วๆสไตล์ไทย แน่นอนครับ ล้มเหลวไม่เป็นท่า ขาดทุนไปหนึ่งแสนเยน นั่งเซ็งอยู่หลายวัน
แต่ประสบการณ์ครั้งนั้น ทำให้ได้เรียนรู้อะไรเยอะมากๆ

จุดเปลี่ยนแปลงความคิดและแนวทางในการใช้ชีวิต อยู่ประมาณช่วงปีไหน
น่าจะเป็นช่วงที่เข้าสู่ปีที่สามและสี่ครับ เพราะเป็นช่วงที่ได้ใช้้เวลาสะสมประสบการณ์ ใช้เวลาค้นหาตัวเอง
สร้างกำลังสร้างฐานของตัวเองให้มั่นคง เพื่อจุดหมายที่ตั้งไว้ ปีที่สี่เป็นปีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในทุกๆด้าน
การเรียนก็เก็บหน่วยกิจครบหมดแล้วจบได้ชัวร์ๆ ขึ้นปีสี่ ในที่สุดเพื่อนๆเขาเลือกให้ผมขึ้นเป็นประธานชมรม
เป็นประธานชมรมคนเดียวที่จดทะเบียนกับทางมหาวิทยาลัยที่เป็นคนต่างชาติ ชมรมที่บริหารมาก็ประสบความสำเร็จ
สื่อต่างๆเข้ามาขอสัมภาษณ์ ทั้งสื่อในโรงเรียน สื่อนอกโรงเรียน เป็นตัวแทนออกทีวีช่อง NHK Education
ส่วนวิทยานิพนธ์ก็ปั่นเอาวินาทีสุดท้าย แต่ก็จบไปได้ด้วยดีครับ

สรุปแล้วผมค่อนข้างพอใจกับชีวิตที่ญี่ปุุ่นมาก ผิดพลาดก็เยอะ แต่ทุกอย่างมันคุ้มค่ากับที่ลงแรงไป จุดหมาย
หรือความฝันที่ตั้งไว้ก็เดินทางไปครบหมดแล้ว

ชีวิตนักศึกษาชาวญี่ปุ่น ฟิล์มคิดว่า เหมือน หรือ แตกต่างจากชีวิตนักศึกษาไทยอย่างไร
แตกต่างกันมากครับ แทบจะหาที่เหมือนกันไม่ได้เลย พูดกันตรงไปตรงมาเลยนะครับ เด็กนักเรียนไทยติดเล่นติดสนุก
ชีวิตมหามหาวิทยาลัยเอาไปเที่ยวเล่นซะมากกว่า จบออกมาแล้วไม่มีผลงาน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนอกจากกระดาษหนึ่งใบ
เห็นๆกันอยู่ทุกวันนะครับ เทรนด์เกาหลีมา ก็พากันเกาหลีทั้งประเทศ เทรนด์บีบีมา ก็พากันใช้บีบีไปทั้งประเทศ
ขาดความเป็นตัวของตัวเอง ขาดจุดยืนของตัวเอง ขาดจุดมุ่งหมายของตัวเอง  ต่างกันมากกับชิวิตนักศึกษาญี่ปุุ่น

ชิวิตในมหาวิทยาลัย สำหรับคนญีปุ่น คือช่วงเวลาที่ตัวเองจะได้มีอิสระมากที่สุด ก่อนที่จะโดนโขกสับในที่ทำงาน
ดังนั้นคนญี่ปุุ่นจึงใช้เวลาช่วงมหาวิทยาลัยอย่างเต็มที่ ทำทุกอย่างที่อยากทำ ไม่ต้องสนใจใคร ไม่แคร์สายตาใคร
ทำทุกอย่างตามใจตัวเอง เพื่อจุดมุ่งหมายของตัวเอง ไม่เดินตามใคร จะใช้เวลาส่วนใหญ่กับกิจกรรมชมรมที่พวกเขาชอบ
หรือเห็นว่าเป็นผลดีกับตัวเอง แล้วทำกันจริงๆจังๆนะครับ ไม่ใช่ครึ่งๆกลางๆ บางชมรมมีเงินหมุนเวียนหลายเสนเยน

ตัวอย่างเช่น ชมรมที่ผมเป็นประธานก่อนจะเรียนจบ  ก็มีเงินหมุนเวียนอยู่เกือบหกแสนเยน
นอกจากทำงานในชมรมแล้ว เวลาว่างก็พวกเด็กญี่ปุุ่่นจะไปทำงานพิเศษหาเงินเก็บไว้เที่ยวต่างประเทศ
บางคนหาเงินส่งตัวเองไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศก็มี สรุปคือ เค้าใช้ชีวิตกันคุ้มค่า เป็นตัวของตัวเอง
ไม่ใช่ไปเที่ยวเล่นกินเหล้าตามผับ เดินห้างกันไปวันๆ

กลับมาพักร้อนที่เมืองไทย 1 เดือน ทำอะไรบ้างคะ
กลับมาคราวนี้ก็มาทำงานกับที่บ้านครับ เป็นช่างซ่อมรถ ทำทุกอย่างที่เขาสั่งให้ทำ แรงงานดีๆนี่เอง
แล้วก็มาเจอเพื่อนๆอันน้อยนิด พักผ่อนเรื่อยเปื่อยตามใจฉัน แต่หลักๆก็คือศึกษาธุรกิจของครอบครัวครับ

อยากอยู่ญี่ปุ่นแบบถาวรไหมคะ
ถาวรนี่ไม่ไหวครับ อยู่ญี่ปุุ่นเหนื่อยนะ  ชีวิตในฝันเลยคืออยู่แบบครึ่งๆกลางๆ ครึ่งหนึ่งอยู่ไทย
อีกครื่งอยู่ญี่ปุ่นสลับไปมา มันไม่น่าเบื่อ เหนื่อยก็หนีไปพัก เบื่อก็บินกลับไป ส่วนเหตุจูงใจนั้นมีมากมายเกินจะบรรยายเลยครับ
เอาง่ายๆเลยก็คือ เทคโนโลยีของที่ญี่ปุ่น สะดวกมาก อินเตอร์เน็ตก็เร็ว เดินทางไปไกลแค่ไหนก็มีรถไฟแรงๆไป ยิ่งล่าสุด
อ่านข่าวมาว่าตู้กดน้ำอัดลมแบบใหม่ของญี่ปุ่นเขาจะเปลี่ยนเป็น แบบตู้จอ touch screen 47 นิ้ว ไร้สาระ แต่เท่มาก
น่าอยู่ไหมหละครับ มีอะไรเพี้ยนๆให้ดูทุกวัน ที่สำคัญเลยก็คือชีวิตของคนที่ญี่ปุ่นเขาเป็นระบบระเบียบไปซะทุกอย่าง
ถ้าเราเข้าใจระบบของเขา อะไรๆมันก็สะดวกง่ายดาย วางแผนชีวิตตัวเองไกลๆได้


หลังจากเรียนจบปริญญาโท
มีโครงการหรือแผนชีวิตอย่างไรต่อไป
ความฝันอันสูงสุดคือ ผมอยากจะได้ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
จากมหาวิทยาลัยวาเซดะหรือไม่ก็มหาวิทยาลัยนาโกยาครับ

ขอถามคำถามแบบสบายๆ ไม่ซีเรียส …. ไม่วิชาการ
คำถามคือ …. ให้เลือก ระหว่าง สาวไทย กับ สาวญี่ปุ่น และ กรุณาบอกเหตุผล

ไม่วิชาการนี่ถนัดครับ ระดับนี้แล้ว ต้องเลือกทั้งคู่สิครับ =. =!! สาวไทยกับสาวญี่ปุ่นนั้นมีความแตกต่างมากมาย
สาวไทยเราน่ารักน่าเอ็นดูมีเสน่ห์ โดนยิ้มใส่ทีนึงก็ใจหายแล้ว ในขณะที่สาวญี่ปุ่นก็สวยเซ็กซี่เอาใจเก่ง
เป็นตัวของตัวเองสูงปรี๊ดชวนให้หลงใหล สรุปก็คือมีดีต่างกัน
ผมแค่ชอบทั้งสองแบบเท่านั้นเอง ผมไม่ใช่คนปิดกั้นนะ ชาติไหนก็ได้ครับ

คำถามสุดท้ายนะคะ สถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นที่อยากไปมากๆๆๆ
สถานที่ที่อยู่ในใจ
อยากพา(แฟน) ไปเที่ยวด้วยกันมากที่ซู๊ดดด

สถานที่ๆผมอยากพาแฟน หรือแฟนๆ หรือว่าที่แฟน ไปนะครับ รองจากบ้านของผมแล้วก็คงไม่พ้น โอไดบะ
โอไดบะเป็นที่ๆไม่ไกลจากโตเกียวนัก มีอะไรหลายๆอย่างให้ทำ สถานที่ช๊อปปิ้งนั้นหรูหรามาก เดินวนๆห้างอย่างเดียว
ก็โรแมนติกแล้ว แถมมีทะเลที่ลงเล่นน้ำไม่ได้  แต่ถ้าหน้าร้อนก็จะมีคนลงไปเล่น wind surf ชวนแฟนไปดูคนเท่ๆ
เผื่อเราจะดูเท่บ้าง ไม่ก็เดินจูงมือกันรอบหาด หรือนั่งเรือทัวร์ก็สนุกดี นอกจากนี้ก็ยังมีสวนสนุก sega ในร่ม
ชิงช้าสวรรค์ ฯลฯ อีกมากมาย … ใช้ชีวิตที่โอไดบะได้ทั้งวัน ไม่เบื่อเลยครับ

 

Waseda “We Love Mom”@ Robinson Ratchada

วาเซดะจัดกิจกรรม Workshop วัฒนธรรมญี่ปุ่น  Waseda “We Love Mom”
เมื่อวันพุธที่ 12 สิงหาคม ที่ผ่านมา ณ ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน รัชดา
โดยจัดกิจกรรมผูกผ้าฟุโรชิกิสำหรับคุณแม่บ้านและกิจกรรมตัดกระดาษ O Bento Paper Craft
สำหรับน้องๆเพื่อทำให้เป็นของขวัญแด่คุณแม่

This slideshow requires JavaScript.

 
 

ศิษย์เก่าไทยวาเซดะ จากบริษัทไทยโอบายาชิ แวะเยี่ยมโรงเรียนจ้ะ



ศิษย์เก่านักเรียนไทยวาเซดะ  อดีตนักเรียนหลักสูตร Day Class  (ปีพ.ศ. 2551 – 2552)  จากบริษัท ไทยโอบายาชิ


ออย – สุชาติ  สอระภูมิ


จุ้ย – นพพล  รัตนสุวิมล


ดึ๋ง – กนกอร  อริยรัตนา


ติ้ง – อร ศรี  เล้าสุทธิพงศ์


ทั้งหมดกลับมาพักร้อนชั่วคราวที่เมืองไทย ก่อนคัมแบ็คกลับไปฝึกงาน(หนัก)ต่อที่ประเทศญี่ปุ่น
รวมเวลาแล้วนี่ก็ครบรอบ 1 ปีพอดี ที่ทั้ง 4 คน อำลาจากบ้านเกิดเมืองนอน
ไปใช้ชีวิตแบบ Japanese Style … ทั้งทำงานกับคนญี่ปุ่น กินๆอยู่ๆ แบบญี่ปุ่น
และ ได้ใช้ประสบการณ์ชีวิตการทำงานในประเทศญี่ปุ่นตลอด 1 ปีเต็มๆ

วันนี้ ศิษย์เก่าทั้งสี่ แวะกลับมาเยี่ยมโรงเรียน และพูดคุยบอกเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการฝึกงาน
ณ ประเทศญี่ปุ่น เผื่อประสบการณ์อันมีค่าเหล่านั้น จะมีประโยชน์แก่รุ่นน้องต่อไป …

ชาววาเซดะก็ขอขอบคุณ ที่แวะมาเยี่ยมพวกเราค่ะ

 

อ่านบทความของศิษย์เก่าไทยวาเซดะ ในวารสาร CJL News มหาวิทยาลัยวาเซดะ

คุณนัตตา  โชติวัชร หรือ ก้อ
ศิษย์เก่าไทยวาเซดะ หลักสูตร Day Class 1 – 5 และ หลักสูตรติววัดระดับ 2

(และ) ศิษย์เก่านักเรียนหลักสูตรภาษาญี่ปุ่น ของ Center For Japanese Language
มหาวิทยาลัยวาเซดะ ประเทศญี่ปุ่น ได้ลงบทความสัมภาษณ์นักเรียนชาวต่างชาติ
ในวารสาร CJL News ซึ่งเป็นวารสารที่เผยแพร่บทความและกิจกรรมสำหรับนักเรียนต่างชาติ

ชื่อบทความ : คือความทรงจำตลอดไป

คือความทรงจำตลอดไป

เมื่อวันที่ 21 มีนาคม  ปีพุทธศักราช 2553 ฉันเดินทางออกจากกรุงเทพมหานคร
แล้วเริ่มต้นทำตามความฝันของตนเอง …
ในขณะที่ยังไม่แน่ใจเลยว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร ฉันก็เดินทางมาถึงสนามบินนาริตะเสียแล้ว

ความฝันของฉันเกี่ยวข้องอย่างไรกับญี่ปุ่นน่ะหรือ
จุดประสงค์ที่ฉันเดินทางมาญี่ปุ่นนั้นเป็นเพราะความตั้งใจที่จะเข้าโรงเรียนทำอาหารที่ชื่อ “ซึจิ”
ตอนเด็ก ๆ ทุกคนคงอยากเป็นหมอหรือเป็นครู แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้นเลย
ฉันมีความฝันที่อยากจะเป็นเชฟ อยากเปิดร้านอาหารของตนเอง
แต่ว่าการที่จะทำความฝันให้เป็นจริง จะต้องเรียนภาษาญี่ปุ่นเสียก่อน
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ฉันตัดสินในเรียนภาษาญี่ปุ่นที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ

แน่นอนว่า จุดประสงค์อันดับแรกคือพัฒนาความสามารถภาษาญี่ปุ่น แต่การเรียนที่มหาวิทยาลัย
วาเซดะไม่ใช่แค่พัฒนาภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น  แต่มีเรื่องราวที่อยู่ในความทรงจำมากมาย
เช่น บรรยากาศการเรียน ความรู้ที่ได้รับจากคณาอาจารย์ และเพื่อน ๆ จากหลากหลายประเทศ
ฉันรู้สึกว่าดีที่มีเพื่อนจากหลายประเทศเป็นจำนวนมาก เวลาที่พูดคุยกับทุกคน
ฉันจะไม่ใช้ภาษาอังกฤษ  ฉันพยายามจะพูดภาษาญี่ปุ่นให้มากที่สุด
ถึงจะไม่เข้าใจทุกคำ แต่ก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะใช้ภาษาญี่ปุ่น

หากนึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา บางครั้งก็ส่งการบ้านและรายงานในเวลาเฉียดฉิว
บางครั้งเวลาที่พูดรายงานต่อหน้าคนก็รู้สึกเขินอาย หัวใจแทบหยุดเต้น
แต่ว่าตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ได้หัวเราะ บากบั่น และร้องไห้กับเพื่อน ๆ
สำหรับฉันแล้ว มันสนุกมากและเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่า

เมื่อภาคการศึกษานี้สิ้นสุดลง   ฉันก็จะลาจากอาจารย์ที่ให้การดูแลมาตลอดหนึ่งปีเต็ม
รวมทั้งเพื่อน ๆ ที่พยายามเรียนมาด้วยกัน  และเริ่มต้นเดินต่อไปบนเส้นทางของฉันเอง
แต่ฉันจะรักษาความทรงจำหนึ่งปีอันมีค่านี้ไว้ตลอดไป

 

ขอเชิญนักเรียนนิสิตนักศึกษาในจ.ชลบุรีร่วมประกวดเรียงความ“ประเทศญี่ปุ่นในความคิดของฉัน”

โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ ศรีราชา จัดโครงการประกวดเรียงความเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์
ทางด้านการศึกษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่น สร้างความเชื่อมโยง ความเข้าใจเกี่ยวกับวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียม
และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันระหว่างประเทศ ในหัวข้อ “ประเทศญี่ปุ่นในความคิดของฉัน” เพื่อเป็นการส่งเสริม
และเปิดโอกาสให้นักเรียนระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษาในจังหวัดชลบุรี ได้ร่วมแสดงความคิดเห็น
สะท้อนถึงแนวคิด ความเข้าใจ และจินตนาการของตนเองที่มีต่อประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์
กับประเทศไทยที่ใกล้ชิดและราบรื่น ครอบคลุมทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม
โดยแสดงออกในรูปของเรียงความ

ขอบเขตเนื้อหาสาระในการประกวด
เนื้อหาสาระของเรียงความจะต้องสะท้อนถึงแนวคิดเกี่ยวกับมุมมองของตนเอง กับประเทศญี่ปุ่น โดยไม่จำกัดแง่มุม
ทัศนคติ ประสบการณ์ชีวิต  นอกจากนี้อาจครอบคลุมข้อเสนอแนะถึงกระบวนการส่งเสริม สร้างสรรค์ พัฒนา
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ  ที่เกี่ยวเนื่องกับภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่น

การตัดสินเรียงความ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้

1. ระดับประถมศึกษา

2. ระดับมัธยมศึกษาและประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.)

3. ระดับอุดมศึกษาและประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.)
รางวัลการประกวด ในแต่ละระดับ
มีระดับละ  2 รางวัล  ประกอบด้วย

1. ประเภทประถมศึกษา
รางวัลการเขียนเรียงความดีเด่น
จำนวน 2 รางวัล
จะได้รับโล่ห์ประกาศเกียรติคุณ และทุนการศึกษาเข้าร่วมกิจกรรม Japanese Fun Course
ครั้งที่ 1 ในเดือนตุลาคม 2553 (ระหว่างวันที่ 11-22 ตุลาึคม 2553)

2.  ประเภทมัธยมศึกษาและประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.)
รางวัลการเขียนเรียงความดีเด่น จำนวน 2 รางวัล
จะได้รับโล่ห์ประกาศเกียรติคุณ และทุนการศึกษาเรียนภาษาญี่ปุ่นหลักสูตรสุดสัปดาห์ฟรี

3.  ประเภทอุดมศึกษาและประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.)
รางวัลการเขียนเรียงความดีเด่น
จำนวน 2 รางวัล
จะได้รับโล่ห์ประกาศเกียรติคุณ และทุนการศึกษาเรียนภาษาญี่ปุ่นหลักสูตรภาคค่ำฟรี
จำนวน 2 รางวัล

ผู้ สนใจสามารถส่งผลงานได้ที่
โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ (กรุงเทพฯ)
เลขที่ 195 อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ชั้น 15 ห้อง เลขที่ 1511 – 1513 ถ.สาทรใต้
แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120
(กรุณาวงเล็บมุมซองด้านซ้ายล่างว่า “ ประกวดเรียงความ ” )

ภายในวันที่ 30 กันยายน 2553 ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2670 3456
หรือ เว็บไซต์ http:// http://www.waseda.ac.th/sriracha

: : สอบถามรายละอียดเพิ่มเติมได้ที่ : :
ผู้ประสานงานโครงการ

ชุติมา วิณิชยกุล
โทร. 02 -670 – 3456 ต่อ 13 และ 089 – 783 – 4045
โทรสาร 02 – 670 -3460 (สำนักงานกรุงเทพฯ)
info@waseda.ac.th

หลักเกณฑ์การประกวดและดาวน์โหลดใบสมัคร

 

Tanbo Art ศิลปะแห่งนาข้าว

ศิลปะนาข้าว กำลังจะกลับมาอีกครั้งในเร็วๆนี้ ซึ่งจะจัดขึ้นในนาข้าวญี่ปุ่น
ข้าวซึ่งถือเป็นอาหารหลักของคนญี่ปุ่นที่เติบโตในแปลงนาอันอุดมไปด้วยน้ำ
ต้นข้าวจะเติบโตในฤดูร้อน และจะถูกเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง
ศิลปะนาข้าวจะใช้ต้นข้าวในแปลงนาอันเปรียบเสมือนพู่กันยักษ์
ที่จะสร้างสรรค์ศิลปะแห่งพืชพันธุ์บนผืนผ้าใบธรรมชาติ  ตลอดเดือนสิงหาคมนี้

หมู่บ้านที่เป็นต้นกำเนิดแห่งศิลปะนาข้าว คือ หมู่บ้านอินะคะดาเตะ แห่งเมืองอาโอะโมริ
ซึ่งได้จัดงานเฉลิมฉลองการจัดกิจกรรมนี้ครบรอบเป็นปีที่ 18 โดยเริ่มแรก ชาวบ้านได้ใช้พันธุ์ข้าว 3 แบบ
ที่มีความแตกต่างกันของสีสันและมีความหลากหลายของต้นข้าว มาสร้างสรรค์เป็นงานศิลปะในหุบเขาอิวากิ
เพื่อให้สมกับคำที่ว่า “หมู่บ้านแห่งศิลปะนาข้าว” บนผืนนาขนาด 54 เมตร ยาว 47 เมตร
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พวกเขาก็ได้เพิ่มขนาดของผืนผ้าใบและเพิ่มความยากในการสร้างงานศิลปะเพิ่มขึ้น
ดังเช่นผลงาน “โมนาลิซ่า” ของ ลีโอนาร์โด ดาวินซี

และผลงานซีรีย์ชุด “Thirty-six Views of Mount Fuji” อันลือชื่อของ คัทซึชิคะ โฮะคุไซ


ฤดูร้อนในปีนี้ พวกเขาได้ปลูกข้าวถึงห้าชนิด ที่มีสีสันแตกต่างกันและมีความหลากหลายลงบนแปลงนาขนาดใหญ่
ขนาดความกว้าง 143 เมตร และยาว 104 เมตร เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่ชื่อว่า
“Ushiwaka and his subordinate Benkei” (รูปในประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียง)
ซึ่งกำลังจะปรากฏขึ้นในปีนี้

ศิลปะนาข้าวได้เริ่มขึ้นเมื่อปี 2008 ณ เมืองเกียวดะ จังหวัดไซตามะซึ่งที่นี่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเขตคันโต
ในครั้งนั้นได้ทำแปลงนาข้าวทางฝั่งตะวันออกสร้างสรรค์เป็น “Kodaihasu no Sato” หรือ สวนดอกบัว
ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในอินะคาดาเตะมูระ ขนาดจะใหญ่ใกล้เคียงพอๆกับโตเกียวโดม
ใช้ผู้ร่วมสร้างสรรค์ราว 300-400 คน  สำหรับปีนี้จะเริ่มต้นทำกันตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน

การปลูกข้าวจะเริ่มประมาณ 10 โมงเช้า และใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะใช้วิธีปลูกข้าวด้วยมือ
ยืนเรียงแถวในแปลงนา เว้นระยะห่างของแถวที่จะปักดำต้นข้าวราวๆ 30 เซนติเมตร
จากนั้นจะใช้วิธีด้นถอยหลังตามเส้นเชือกจากจุดกึ่งกลางมาด้านนอกอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

สำหรับภาพในปีนี้จะเป็นภาพ “NARITA Nagashika” (Nobou –sama) และ “Oshijo” (ปราสาท)
จากนวนิยายในประวัติศาสตร์  (Nobou’s Castle) อยู่ในเมืองเกียวดะ ภาพปราสาทนี้ออกแบบโดย อาโอยากิ คินิจิ
จากเมืองคาวาโกเอะ จังหวัดไซตามะ  งานศิลปะชิ้นนี้คาดการณ์ว่าจะสร้างให้สำเร็จในเดือนสิงหาคม
ก่อนที่จะมีการเก็บเกี่ยวข้าวในวันที่ 16 ตุลาคม

มูราตะ คิโยฮารุ แห่งเมืองเกียวดะ เจ้าหน้าที่งานส่งเสริมสิ่งแวดล้อม กระทรวงการเกษตรฯ กล่าวว่า

“จุดมุ่งหมายของเราคือการสร้างประสบการณ์ชีวิตให้กับประชาชน
เกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นที่ผูกพันกับการปลูกข้าว
จารีตประเพณีแบบดั้งเดิม ซึ่งเราปลูกข้าวกันโดยใช้มือ”

เมืองนี้ยังเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติที่สนใจเข้ามามีส่วนร่วม โดยเป็นกิจกรรมระหว่างประเทศ
เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ศิลปะนาข้าว ผู้เข้าร่วมกิจกรรมดำนาจะได้รับค่าแรง 1,000 เยนสำหรับผู้ใหญ่
และ 500 เยนสำหรับเด็กนักเรียนประถมเพื่อเป็นการขอบคุณ นอกจากนี้ ยังมอบข้าวให้ผู้เข้าร่วมอีกคนละ 2 กิโลกรัม
ส่วนผู้ที่สนใจเข้าชม จะเสียค่าธรรมเนียม 400 เยนสำหรับผู้ใหญ่ และ 200 เยนสำหรับเด็ก

งานศิลปะในครั้งนี้จะเปิดให้ประชาชนเข้าชมจนกว่าฤดูเก็บเกี่ยวจะสิ้นสุดลงในเดือนพฤศจิกายน

* แปลบทความจากวารสาร Hiragana Times ฉบับเดือนสิงหาคม 2553

 
Leave a comment

Posted by on 08/03/2010 in Life in japan, News, Variety

 

นิทรรศการเฉลิมฉลอง Tomica ครบรอบ 40 ปี

Tomica เป็นซีรีย์โมเดลรถขนาดจิ๋วที่ผลิตโดยบริษัท Tomy ซึ่งวางจำหน่ายมาตั้งแต่ปี 1970
ขณะนี้ได้จัดนิทรรศการเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปี โดยจัดแสดงแบบโมเดลรถตั้งแต่ครั้งที่ยังทำจากวัสดุแพลตตินั่ม
และเคลือบด้วยแลคเกอร์ โดยจะจัดโชว์โมเดลรถทั้งหมดร่วมกันมากกว่าหนึ่งพันแบบ

: : Tomica Exhibition in Tokyo : :
ณ Makuhari Messe International Convention Complex (Chiba City , Chiba Prefecture)
ค่าเข้าชมงาน 1000 เยน สำหรับผู้ใหญ่ และ 800 เยนสำหรับเด็ก ตั้งแต่วันที่ 20 – 29 สิงหาคม 2010

* นิทรรศการนี้จะจัดขึ้นที่เมืองฟูกุโอกะด้วยนะคะ

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

http://www.takaratomy.co.jp/

 
Leave a comment

Posted by on 08/03/2010 in Life in japan, News, Variety