RSS

Category Archives: Cool Site

Hanamizuki ถ่ายทำที่มหาวิทยาลัยวาเซดะกำลังจะเข้าฉายที่เมืองไทยในเดือนธันวาคมนี้แล้วจ้า


“ภาพยนต์เรื่องนี้จะทำให้คุณเชื่อในปาฏิหารย์ ”

“ หนังรักเรื่องนี้จะทำให้หัวใจของคุณอบอุ่น ”

เปิดตัวภาพยนตร์ญี่ปุ่นในปีนี้ HANAMIZUKI ซึ่งถ่ายทำจากสถานที่จริงมหาวิทยาลัยวาเซดะ โตเกียว
เล่าเรื่องความรัก การเติบโตไปสู่เส้นทางการใช้ชีวิต โดยถ่ายทอดผลงานผ่าน 3 นักแสดงนำ
ได้แก่ ซาเอะ (อารางากิ ยูอิ นักแสดงนำหญิง) หญิงสาวจากฮอกไกโดที่มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวง
อย่างโตเกียว เพื่อเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ และ คนรักของเธอ โคเฮ (อิคุตะ โทมะ นักแสดงนำชาย)
และรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย คิทะมิ (มุไค โอะซะมุ) ที่ยังคงมีการติดต่อกันเรื่อยมา

ด้วยการเรียน ความรัก กิจกรรมการหางาน และจากประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านมา
ด้วยความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษ ทำให้หลังจากที่ซาเอะจบการศึกษาจากรั้วมหาวิทยาลัย
เธอได้เข้าทำงานในตำแหน่งบรรณาธิการในสำนักพิมพ์เล็กๆแห่งหนึ่งในนิวยอร์ค
เรื่องราวที่เขียนจากความมรักอันบริสุทธ์ในช่วงเวลา10ปีของชีวิตวัยรุ่น

สถานที่ที่ถูกเลือกใช้ในการถ่ายทำนั้นได้แก่ บริเวณลานหน้ารูปปั้น OOKUMA
หน้าอาคาร 11 , สวนในอาคาร3 ,  ห้องเรียนรวมชั้น1 อาคาร15
และบริเวณทางลาดแคมปัสโทยามะ

ภาพยนตร์เรื่องนี้ติดชาร์ตอันดับ 1 ติดต่อกันถึง 2 สัปดาห์ที่ประเทศญี่ปุ่น

จะเข้าฉายที่เมืองไทยในวันที่ 23 ธันวาคมนี้
ที่โรงภาพยนตร์ลิโด และ House RCA ค่ะ

http://www.hanamizuki-movie.com/index.html


 
11 Comments

Posted by on 11/24/2010 in Cool Site, Movies, News, Variety

 

ตามหา “คนหน้าเหมือน” กันได้นะครับ

ทุกคนเคยไหมครับที่เวลาเห็นหน้าใครสักคนในโทรทัศน์แล้วคิดว่า “เอ๊ะ เหมือนเคยเห็นคนหน้าตาแบบนี้ที่ไหนสักที่นะ”
ไม่ว่ากลุ่มคนเหล่านั้นจะมีทั้งนักร้อง ดารา นักการเมือง คนร้ายในคดีต่างๆ หรือแม้แต่นักกีฬา แต่ประเด็นสำคัญก็คือ
จะมีบางครั้งที่เรานึกไม่ออกว่า “คนๆ นั้นหน้าเหมือนใครกัน” ครับ

ในตอนนั้น สิ่งที่สำคัญสำหรับคนญี่ปุ่นก็คือ เว็บไซต์ที่ชื่อ 「soKKuri?」
ซึ่งช่วยให้คิดออกว่าคนที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น “ใครหน้าเหมือนใคร” ครับ
สามารถติดตามได้ที่ http://sokkuri.net/

พอป้อนข้อมูลชื่อของคนที่เราอยากรู้ว่าหน้าเหมือนใครลงไป
รายชื่อของคนที่มีชื่อเสียงที่หน้าตาเหมือนคนๆ นั้นก็จะปรากฏขึ้นมาครับ
พอได้ดูรูปใบหน้าต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นมาแล้ว ก็จะมีการให้ลงคะแนนโหวตว่าหน้าตา “そっくり!(เหมือนกัน)”
หรือ “似てない (ไม่เหมือนกัน)” นอกจากนั้นยังมีการแสดง “อัตราส่วนของความเหมือน” เป็นเปอร์เซ็นต์
ตามสัดส่วนจำนวนเปอร์เซ็นต์ของคนที่ลงคะแนนว่า “そっくり!(เหมือนกัน)” อีกด้วย
จึงทำให้สามารถแยกแยะได้ว่าคนทั้งสองคนหน้าตาเหมือนกันหรือไม่อย่างไรได้อย่างแท้จริงครับ

อย่างเช่นในกรณีของคุณฮอนดะ นักกีฬาฟุตบอลทีมชาติญี่ปุ่นที่เข้าร่วมแข่งขันในฟุตบอลโลก ก็มีผู้เข้ามาลงคะแนนว่ามีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับคาตาซึกิ ชินซากุ ซามูไรที่มีชื่อเสียงในสมัยเอโดะ ถึง 83 เปอร์เซ็นต์ครับ

นอกจากนี้ในกรณีของคุณโอซาว่า อิจิโร่ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น(ดีพีเจ) นักการเมืองที่ทรงอิทธิพลอย่างมากท่านหนึ่งของญี่ปุ่น ก็มีผลการลงคะแนนว่าหน้าตาคล้ายกับ “ราชานิโคจังจอมโหด” สิ่งมีชีวิตจากต่างดาวที่ปรากฏตัวในการ์ตูนเรื่องด๊อกเตอร์สลัมกับหนูน้อยอาราเล่ ถึง 89 เปอร์เซ็นต์ครับ ติดตามได้จากhttp://sokkuri.net/alike/ニコチャン大王/小沢一郎

ถ้าเมืองไทยมีเว็บไซต์แบบนี้บ้างก็คงจะน่าสนใจดีนะครับ

 
 

สรุปข้อมูลการศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยวาเซดะ

สวัสดีครับ วันนี้ผมคิดว่าอยากจะแนะนำข้อมูลที่เกี่ยวกับการศึกษาต่อ
ณ มหาวิทยาลัยวาเซดะที่นำเสนอลงในหน้าเว็บไซต์ดังต่อไปนี้ครับ

1. แนะนำมหาวิทยาลัยโดยรวม

ภาษาอังกฤษ ติดตามได้ที่ http://www.waseda.jp/top/index-e.html

ภาษาไทย     ติดตามได้ที่ http://www.waseda.ac.th/wu_thai/

2. ข้อมูลข้อสอบเข้าโปรแกรมภาษาอังกฤษ

ภาษาอังกฤษ ติดตามได้ที่ http://www.waseda.jp/cjl/html/e_study.index.html

3. หลักสูตรเฉพาะทางภาษาญี่ปุ่น ศูนย์ภาษาญี่ปุ่น

ภาษาอังกฤษ ติดตามได้ที่ http://www.waseda.jp/cjl/html/e_study.index.html

*เกี่ยวกับการเข้าศึกษาต่อโดยการเสนอให้เข้าศึกษาด้วยวิธีการพิเศษ (โควตา)
จากโรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ ติดตามได้จากเว็บไซต์ภาษาไทย
http://www.waseda.ac.th/index.php?option=com_content&view=article&id=60&Itemid=66

4. ฐานข้อมูลคณาจารย์ และนักวิจัย

ภาษาอังกฤษ ติดตามได้ที่https://www.wnp7.waseda.jp/Rdb/app/ip/ipi0201.html?lang_kbn=1

5. ข้อมูลทุนการศึกษา

ภาษาอังกฤษ ติดตามได้ที่

http://www.cie-waseda.jp/cometowaseda/scholarship_e.html

http://www.waseda-iao.jp/waseda/e/admission/4/04a/4-1-1.html

6. ค้นหาข้อมูลหลักสูตร
https://www.wnz.waseda.jp/syllabus/epj3011.htm?pLng=en

 

พิพิธภัณฑ์โดราเอมอนกำลังจะเสร็จแล้วครับ

พิพิธภัณฑ์ “โดราเอมอน” และ “ปาร์แมน” จะเปิดให้บริการที่จังหวัดคาวาซากิ
ใกล้ๆกับกรุงโตเกียวในเดือนกันยายน ปีค.ศ.2011 หรือปีหน้านี้ครับ

ผู้เขียนเรื่องโดราเอมอนคือ “ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ” แต่อันที่จริงมีนักเขียนการ์ตูน 2 ท่านร่วมกันสร้างกันโดเรมอนขึ้นมาครับ
โดยพิพิธภัณฑ์นี้เป็นการจัดแสดงผลงานต้นฉบับของฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะ 1 ใน 2 ผู้สร้างโดราเอมอน
และมีชื่อสถานที่อย่างเป็นทางการว่า “พิพิธภัณฑ์ฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะ” ครับ
ติดตามรายละเอียดได้จาก http://www.fujiko-f-fujio.jp/museum/

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เก็บรักษาผลงานต้นฉบับที่ยังหลงเหลืออยู่ประมาณ 5 หมื่นชิ้นของคุณฟูจิโกะ
ที่เสียชีวิตในปีค.ศ. 1996 และนอกเหนือจากจะนำมาจัดแสดงในบางโอกาสแล้ว
ยังมีมินิเธียเตอร์และร้านกาแฟ รวมถึงได้ยินว่ามีตุ๊กตาโดเรมอนและโนบิตะบนสวนลอยฟ้าอีกด้วยครับ

นอกจากนี้ ยังได้ยินว่าสามารถพบเห็นสิ่งที่คุณฟูจิโกะโปรดปราน
ไม่ว่าจะเป็น หมวกผ้าสักหลาดทรงกลม ยาสูบ โต๊ะทำงาน คอลเลกชั่นฟอสซิลไดโนเสาร์ได้ที่นี่อีกด้วยครับ

ทั้งนี้ภายในตัวอาคารยังมีห้องที่สามารถขี่โดเรมอนเล่นได้
และมีห้องสมุดซึ่งสามารถอ่านหนังสือการ์ตูนเตรียมไว้ให้อีกด้วยครับ
นอกจากนี้ที่ร้านกาแฟยังมีกำหนดการที่จะจัดเตรียมเครื่องมือต่างๆ ของโดราเอมอน
ซึ่งเป็นอาหารที่เกี่ยวข้องกับผลงานของคุณฟูจิโกะเช่น “ขนมปังช่วยจำ” เป็นต้น

จากนี้ไปก็คงจะต้องตั้งตารอกันแล้วล่ะนะครับ

 

“ร้านคิตตี้จัง” ที่ฮาราจุกุจะปิดทำการชั่วคราว

ถ้าเอ่ยถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในหมู่คนไทยที่ไปเที่ยวญี่ปุ่น
แน่นอนครับว่าต้องมีฮาราจูกุรวมอยู่ด้วย บนถนนทาเคชิตะ มีร้าน Johnny’s shop
ร้านคอสเพลย์ ตั้งอยู่เรียงราย รวมถึงร้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังคือ “ร้านคิตตี้แลนด์ฮาราจูกุ”
สำนักงานใหญ่ของร้านคิตตี้จังครับ ซึ่งนอกเหนือจากสินค้าของคิตตี้จังแล้ว
ยังมีสินค้าตัวละครของซานริโอ้และสินค้าจากการ์ตูนอนิเมชั่นอื่นๆ อีกมากมายอย่างครบครัน
สามารถติดตามได้ที่ http://www.shibukei.com/photoflash/966/

โดยในปลายเดือนสิงหาคมนี้จะมีการเริ่มสร้างร้านคิตตี้จังขึ้นใหม่
จึงจะต้องมีการปิดร้านครับ ติดตามรายละเอียดได้จาก
http://www.kiddyland.co.jp/etc/kiddy_hara_renew/

และเนื่องจากร้านคิตตี้จังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวที่มาจากต่างประเทศ
จึงมีการแจ้งการปิดร้านเป็นภาษาต่างๆ ได้แก่ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาเกาหลี
ติดตามการแจ้งปิดร้าน (เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ) ได้ที่นี่ครับ
http://www.kiddyland.co.jp/etc/kiddy_hara_renew_e/

ดังที่ปรากฏอยู่ในประกาศ ว่าร้านคิตตี้จังมีกำหนดจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง
ณ สถานที่เดิมในฤดูร้อนของค.ศ. 2012 (น่าจะประมาณเดือนสิงหาคม?) ครับ
คนที่จะไปญี่ปุ่นในช่วงเวลานี้ กรุณาระวังด้วยนะครับ

ทั้งนี้ เนื่องจากร้านที่เปิดใหม่จะไม่ได้แค่ขายสินค้าเพียงอย่างเดียว
แต่ยังเป็นศูนย์กลางในการสื่อสารข่าวสารข้อมูล
และอาจจะมีการสร้างมุมจัดแสดงนิทรรศการสินค้าของคิตตี้จังเหมือนเป็นพิพิธภัณฑ์ด้วยครับ?
จากนี้ไปคนที่ชื่นชอบคิตตี้จังทุกคน คงแทบจะรอไม่ไหวกันเลยทีเดียวนะครับ

 

“Hayabusa” สิ่งที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าตัวแทนทีมชาติญี่ปุ่น

คราวก่อนผมได้หยิบยกหัวข้อชัยชนะ ของตัวแทนทีมชาติญี่ปุ่นเหนือทีมชาติแคมารูนในการแข่งขันฟุตบอลโลกมาเขียนลงบล็อกไปแล้วนะครับ ตอนนี้ในญี่ปุ่นเอง ก็มีสิ่งที่ถูกจับตามองไม่แพ้ตัวแทนทีมชาติญี่ปุ่น นั่นก็คือ “Hayabusa (เหยี่ยว)” ยานสำรวจดาวเคราะห์น้อยไร้มนุษย์ครับ

ยานลำนี้ปล่อยออกสู่อวกาศเมื่อ 7 ปีก่อนในเดือนพฤษภาคม ปีค.ศ. 2003 ผ่านเส้นทางการเดินทางไปกลับจากผิวโลก 6 พันล้านกิโลเมตร และเดินทางกลับสู่โลกเมื่อวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมาครับ ความสำเร็จในการไปกลับจากโลกถึงเทหวัตถุในจักรวาลยกเว้นดวงจันทร์ครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จที่น่าปลาบปลื้มครั้งแรกของโลกเลยล่ะครับ

ภารกิจหนึ่งของ “Hayabusa” คือการลงจอดบนดาวเคราะห์น้อย “อิโตกาวา” ที่อยู่ห่างจากโลกถึง 2 พันล้านกิโลเมตร และนำทรายจากดาวดวงนั้นกลับมา โดยดาวเคราะห์น้อย “อิโตกาวา” ยังคงรักษารูปลักษณะเดิมนับตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นพร้อมๆ กับโลกเมื่อ สี่พันหกร้อยล้านปีมาแล้ว ถ้าหากได้นำทรายจากที่นั่นมาวิเคราะห์แล้วล่ะก็ คาดว่าจะสามารถไขข้อข้องใจเกี่ยวกับโครงสร้างการก่อตัวขึ้นของระบบสุริยะได้ครับ

“Hayabusa” ใช้เครื่องยนต์ใหม่ที่มีรูปแบบเป็นการประหยัดพลังงานเรียกว่า “เครื่องยนต์ไอออน” และได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เช่นเทคโนโลยีควบคุมการเคลื่อนที่อัตโนมัติโดยไม่ต้องรับคำชี้นำโดยตรงจากพื้นโลก เป็นต้น ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ครั้งนี้ก็เป็นการทดลองว่าเทคโนโลยีนี้จะสามารถใช้ได้ผลจริงหรือไม่ เพราะถ้าเทคโนโลยีเหล่านี้ประสบความสำเร็จ ก็จะทำให้แม้แต่ยานสำรวจลำเล็กๆ ก็สามารถติดตั้งเทคโนโลยีพื้นฐาน อันมีเป้าหมายในการสำรวจเทหวัตถุในจักรวาลที่อยู่ห่างไกล เช่น ดาวพฤหัสได้ยังไงล่ะครับ

อันที่จริงแล้วในระยะเวลา 7 ปีมานี้ “Hayabusa” ต้องประสบปัญหามาตลอด ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ควบคุมลักษณะการบินเสีย และเชื้อเพลิงรั่วไหลตามมาเป็นลำดับ อีกทั้งยังกลับสู่พื้นโลกล่าช้ากว่ากำหนดการถึง 3 ปี จนเครื่องยนต์ต้องทำงานมากกว่าอายุขัยที่ได้รับการออกแบบมาเป็นต้น ส่งผลให้ทางทีมผู้ปล่อยยานต้องสิ้นหวังว่าจะได้เห็นยานหวนคืนสู่พื้นโลกมาแล้วหลายครั้งหลายหน อย่างไรก็ดี ในคราวนี้ทางทีมงานได้ค้นพบมาตรการแก้ปัญหา จนทำให้ยานฮายาบูสะสามารถกลับสู่พื้นโลกได้สำเร็จครับ

เมื่อวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา 3 ชั่วโมงก่อนที่ “Hayabusa”จะกลับสู่ชั้นผิวโลก ได้มีการแยกปล่อย “แคปซูลเก็บข้อมูล” ที่ (อาจจะ) มีทรายที่ได้จากดาวเคราะห์น้อยอยู่ข้างในลงสู่พื้นโลก ขณะที่เมื่อเข้าสู่ชั้นบรรยากาศแล้ว ยานแม่ฮายาบูสะก็มอดไหม้และแตกตัวออกเป็นชิ้นๆ ถือเป็นการสิ้นสุดภารกิจครับ ซึ่งภาพในตอนนั้นได้รับการเปิดเผยด้วยภาพถ่ายขององค์การนาซ่า

แม้ว่าจะเป็นภาพที่งดงามมาก แต่พอคิดว่าเป็นการเผาไหม้ที่ปลิดชีวิตของ “Hayabusa” แล้ว ผมก็รู้สึกสะท้อนใจนิดๆ เหมือนกันนะครับ

ทั้งนี้ แคปซูลเก็บข้อมูลได้ตกลงในทะเลทรายแห่งหนึ่งในประเทศออสเตรเลียอย่างปลอดภัย อันที่จริงแล้วในขณะที่ยานลงจอดบนดาวเคราะห์น้อยอิโตกาวา อุปกรณ์เก็บข้อมูลไม่ได้ทำงานตามปกติ กล่าวคือแม้ว่าจะเก็บทรายได้ แต่ก็ได้ในจำนวนที่น้อยมาก ทว่า แม้จะเป็นเม็ดเล็กๆ ราวกับผงแป้งเพียงเม็ดเดียวก็สามารถนำไปวิเคราะห์หาส่วนประกอบได้ครับ และพอได้ยินว่าองค์กรสำรวจอวกาศญี่ปุ่นจะเก็บตัวอย่าง นำไปวิเคราะห์ ผมก็เลยตั้งตารอว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไงครับ

 
Leave a comment

Posted by on 06/17/2010 in By Khun Shu, Cool Site, Variety

 

ปีค.ศ. 2041 นี้ “เราจะไปเที่ยวอวกาศด้วยเงิน 1 ล้านเยน” ได้แล้วหรือนี่?

สถาบันวิจัยนโยบายทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งญี่ปุน ได้รายงานผลการสำรวจ
ซึ่งสรุประยะเวลาที่คาดการณ์ว่าจะทำให้สำเร็จได้จริงถึงหัวข้อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ในอีก 30 ปีข้างหน้า สามารถติดตามได้จาก …

http://www.nistep.go.jp/index-j.html

การสำรวจนี้ใช้เวลาจัดทำประมาณ 5 ปีโดยมีนักวิทยาศาสตร์และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคเป็นกลุ่มเป้าหมาย
โดยได้ยินว่าในครั้งนี้มีผู้ตอบแบบสอบถามประมาณ 3,000 คนครับ

จากการสำรวจพบว่า กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่นจะสามารถทำให้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ดังต่อไปนี้เกิดขึ้นเป็นจริง และคาดว่าจะเผยแพร่ออกสู่สังคมได้
(รายงานจำนวนปีตามระยะเวลาที่คาดการณ์ว่าจะทำให้สำเร็จได้จริง)

ปีค.ศ. 2025 : รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ชาร์จแบต 1 ครั้ง สามารถแล่นได้ประมาณ 500กิโลเมตร

ปีค.ศ. 2027 : หุ่นยนต์ที่มีความสามารถในการฟังและการมองเห็นชั้นเยี่ยม ซึ่งจะเข้ามาทำหน้าที่ในการบรรเทาภัยพิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ในที่เกิดเหตุระเบิดแทนตำรวจเป็นต้น

ปีค.ศ. 2037 : สามารถทำนายช่วงเวลาการเกิดแผ่นดินไหวที่มีขนาดตั้งแต่ 6 ริกเตอร์ขึ้นไปได้ (ในระยะเวลามากกว่า 1 ปี)

ปีค.ศ. 2040 : มีฐานทัพบนพื้นผิวดวงจันทร์ที่มีผู้ควบคุมอยู่ด้วย

ปีค.ศ. 2041 : สามารถท่องเที่ยวอวกาศได้ในจำนวนวงเงิน 1 ล้านเยน

สิ่งที่ผมสนใจมากเป็นพิเศษคือข้อสุดท้าย การไปเที่ยวอวกาศครับ
ในปัจจุบันนี้มีเพียงนักบินอวกาศเท่านั้นที่สามารถไปได้
และถึงแม้ว่าบริษัทเอกชนเองก็มีโครงการท่องเที่ยวอวกาศ
แต่ได้ยินว่าราคาก็สูงมากจนมีแต่มหาเศรษฐีเท่านั้นที่จะเข้าร่วมได้

ถึงอีกประมาณ 30 ปีข้างหน้าผมจะอายุ 70 ปีแล้ว
แต่ถ้าสามารถไปเที่ยวอวกาศได้ในราคา 1 ล้าน
คิดว่าผมคงจะตั้งใจเก็บตังค์ตั้งแต่ตอนนี้เลยล่ะครับ

 
1 Comment

Posted by on 06/15/2010 in By Khun Shu, Cool Site, News, Variety

 

เรียกคุณพ่อว่าอะไรกันนะ?


Credit Photo from – http://mokudoukoubou.jugem.jp/?eid=163

ที่ญี่ปุ่น ถือเอาวันอาทิตย์ที่ 3 ของเดือนเป็น “ วันพ่อ ”
ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 20 มิถุนายนครับ โดยเว็บไซต์  “ECナビ”
ได้จัดการโหวตก่อนที่จะถึงวันพ่อในหัวข้อ  “ คุณเรียกพ่อของตัวเองว่ายังไง? ” ครับ
ติดตามได้ที่

http://point.ecnavi.jp/vote/?pgid=5&eqid=1517&vtg=1

จากผลโหวต 23,698 คนที่ได้รับ สามารถสรุปผลดังต่อไปนี้

お父さん 43%
おやじ  13%

父さん  8%
とうちゃん7%

パパ   6%
オトン  3%

ไม่เรียก   6%
อื่นๆ    14%

จากผลการสำรวจนี้ พบว่าคนที่เรียกของตัวเองว่า “お父さん” มีจำนวนมากอย่างล้นหลามเลยนะครับ
ในขณะเดียวกันสิ่งที่น่าสนใจคือเหตุผลของคนที่ “ไม่เรียก” และคนที่ตอบว่า “อื่นๆ” นั้นเขาเรียกกันว่ายังไงน่ะครับ

ประเด็นแรก สำหรับคนที่ “ไม่เรียก” ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่คุณพ่อเสียชีวิตไปแล้ว จึง “ไม่เรียก”
ขณะที่ก็มีบางคนที่มีความเห็นที่น่าเศร้า ว่าเพราะมีปัญหาในครอบครัวจึงไม่ได้พูดคุยกันอีกแล้วครับ
ส่วนคนที่ตอบว่า “อื่นๆ” ส่วนใหญ่จะเรียก “ชื่อ” และที่เหลือได้ยินว่าให้คำตอบดังต่อไปนี้ครับ

“Daddy” (เหมือนในละครอเมริกัน)

“おとやん” (เป็นคนโอซาก้ารึเปล่านะ?)

“父上” (ออกมาจากละครเวทียุคซามูไร)

“お父様” (เหมือนคุณหนูในตระกูลขุนนางที่มั่งคั่ง)

ส่วนตัวผม ลูกสาว (อายุ 5 ขวบ) เรียกว่า “パパ” (ป๊ะป๋า)
สมัยที่ลูกสาวผมอายุ 4 ขวบ ผมคิดว่าถ้าเป็นเหมือนครอบครัวซามูไรก็น่าจะเท่ห์ดีนะ
เลยบอกลูกว่า “ต่อไปนี้ให้เรียกพ่อว่า 父上 (ท่านพ่อ) นะ” ทุกวันอยู่ได้สัก 2-3 วัน แต่ลูกก็ไม่ใยดีเลยล่ะครับ (ฮือๆ)

ว่าแต่ คนไทยเรียกพ่อของตัวเองว่ายังไงกันล่ะครับ?
ที่ผมเคยได้ยินมีแต่เรียกว่า “พ่อ” อย่างเดียวเลยล่ะครับ

 
 

เครื่องมือลับของโดราเอมอน

สวัสดีครับ ถ้าพูดถึงการ์ตูนเอนิเมชั่นญี่ปุ่นที่คนไทยชื่นชอบ
คิดว่าจะต้องเป็นเรื่อง “โดราเอมอน” แน่ๆ เลยนะครับ
และโดเรมอนเองก็เป็นที่รักของเด็กๆ ชาวญี่ปุ่นมามากกว่า 30 ปีแล้วเช่นเดียวกัน

ตอนเรียนชั้นประถม คงมีเด็กจำนวนมากไม่ใช่หรอกเหรอครับ
ที่ชอบเล่นพูดกับเพื่อนๆ ว่า  …

“ ในบรรดาเครื่องมือของโดราเอมอน อยากได้อะไรมากที่สุด ”

จะว่าไปแล้ว สิ่งที่ผมอยากได้มากที่สุด ไม่ว่าจะตอนเด็กหรือตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงคือ “ประตูไปไหนก็ได้” ครับ
เรื่องสนุกๆ อย่างการที่เราจะไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ในโลก ในเวลาที่เราพอใจนั้นน่ะ ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วนะครับ

อย่างไรก็ดี ที่ญี่ปุ่นมีเหล่าผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีที่ดู “ โดราเอมอน ” มาตั้งแต่เด็กจนโตได้ทำสิ่งที่ท้าทายคือ

“ลองสร้างเครื่องมือของโดราเอมอนให้เกิดขึ้นได้จริง”

ซึ่ง 1 ในนั้นได้แก่ “ เฮลิคอปเตอร์ไม้ไผ่ ”


ใช้ติดบนศีรษะและโบยบินออกสู้ท้องนภา เป็นเครื่องมือที่ดังที่สุดเลยก็ว่าได้นะครับ

ทั้งนี้ มีบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดนากาโนะ
ได้สร้างเจ้าเครื่องนี้สำเร็จแล้วล่ะครับ ติดตามรายละเอียดได้จาก http://www.gen-corp.jp/
โดยเฮลิคอปเตอร์เครื่องเล็กที่สุดในโลก บรรทุกผู้โดยสารได้เพียง 1 คน มีชื่อว่า “GEN H―4” ครับ

น้ำหนักประมาณ 75 กิโลกรัม สามารถบินได้ในความเร็ว 10-40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงครับ

อนึ่ง ผู้ที่สนใจสามารถสัมผัสเฮลิคอปเตอร์เครื่องจริงได้ที่งานนิทรรศการพิเศษที่จะจัดขึ้น
ณ พิพิธภัณฑ์ในกรุงโตเกียวตั้งแต่วันที่ 12 มิ.ย. นี้ และทดลองบังคับเฮลิคอปเตอร์นี้ได้
จากหน้าจอจำลองด้วยครับ ดูรายละเอียดได้จาก

http://www.miraikan.jst.go.jp/en/spevent/doraemon/

ทุกๆ คนที่อยู่ที่ญี่ปุ่น กรุณาลองไปดูให้ได้นะครับ

 

เราสร้างฐานทัพกันดั้มได้จริงๆ เหรอ?

ที่ญี่ปุ่นมีบริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่ชื่อ “มาเอะดะเคงเวทสึโคเกียว” ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ.1919
ซึ่งเป็นผู้สร้างสิ่งก่อสร้างที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมากมาย
อาทิ อุโมงค์เซคัง ฟุกุโอกะโดม และโรงงานพลังงานนิวเคลียร์ เป็นต้น


ติดตามรายละเอียดได้จาก http://www.maeda.co.jp/fantasy/index.html

ในปีค.ศ. 2003 บริษัทที่มีประวัติศาตร์และขนบธรรมเนียมสืบทอดมายาวนานดังกล่าว
ได้ก่อตั้งแผนกใหม่เรียกว่า “แผนกบริหารจินตนาการ” โดยแผนกนี้มีหน้าที่คือ …

“วิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการสร้างสิ่งที่อยู่ในจินตนาการให้เป็นจริง
รวมถึงคำนวนค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการก่อสร้าง ในกรณีที่มีการนำเทคโนโลยี
ด้านวิศวกรรมโยธามาใช้ในการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ซึ่งปรากฏอยู่ในเกมส์
และการ์ตูนแอนิเมชั่นที่ได้รับความนิยม ”

โดยผลงานของบริษัทตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันคือ

-โรงเก็บหุ่นยนต์ จากการ์ตูนหุ่นยนต์เอนิเมชั่นเรื่อง “Mazinger Z” (หุ่นกายสิทธิ์)

– สะพานปล่อยรถไฟด่วนอวกาศออกสู่พื้นผิวโลก จากการ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่อง “Galaxy Express 999”
(อ่านว่า ทรี-ไนน์) หรือรถด่วนกาแล็กซี่ 999

– สนามแข่งรถ จากเกมส์แข่งรถ “Gran Turismo4” หรือจีที4 เป็นต้น

นอกจากนี้ได้ยินว่า หัวหน้าฝ่ายกลุ่มเครื่องจักรกล ฝ่ายวิศวกรรมโยธา
และพนักงานของบริษัทอื่นๆ ที่ปฏิบัติงานในสถานที่ก่อสร้าง ยังได้ร่วมกันวิเคราะห์
และพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะก่อสร้างสิ่งอื่นๆ ต่อไปด้วยครับ

อย่างไรก็ดีในการก่อสร้างให้รถไฟ จากเรื่อง Galaxy Express 999 สามารถแล่นออกสู่อวกาศได้นั้น
จำเป็นที่จะต้องมีสะพานปล่อยรถไฟ ที่เรียกว่า
“สะพานปล่อยและรับรถไฟด่วนอวกาศความเร็วไฮสปีดแห่งสถานีกลางอภิมหานคร”
โดยสะพานดังกล่าว 1 ชุด ประมาณการณ์ว่ามีมูลค่าถึง สามพันเจ็ดร้อยล้านเยน (ไม่รวมค่าที่ดิน)
ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี 3 เดือน

โดยในปีนี้ ทางทีมงานได้ทยอยเริ่มโครงการใหม่ๆ ไปบ้างแล้ว หนึ่งในนั้นคือการก่อสร้าง “จาบุโร่”
ฐานทัพจากเรื่อง “กันดั้ม” การ์ตูนหุ่นยนต์เอนิเมชั่นประจำชาติของญี่ปุ่น ซึ่ง “จาบุโร่”
เป็นฐานบัญชาการใหญ่ของกองกำลังแห่งสหพันธรัฐบนโลก
และเป็นสถานที่ที่แฟนๆ ของกันดั้มรุ่นแรก (รวมถึงตัวผม) กระตือรือร้นอยากให้มีมากๆ เลยล่ะครับ

ฐานทัพดังกล่าวตั้งอยู่ในพื้นที่เขตร้อน พรั่งพร้อมไปด้วยอาวุธ ยุทโธปกรณ์
และมีความสามารถในการป้องกันภยันตรายได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่เว้นแม้แต่จากระเบิดนิวเคลียร์
ในการนี้ ด้วยร่วมมือจากเว็บไซต์ประกาศข่าวสารอย่างเป็นทางการของกันดั้ม หรือ “Gundum info”
ทำให้ผู้สนใจสามารถอ่านข้ออภิปราย จากการประชุมได้ทางเว็บไซต์ด้วยครับ
ได้ที่ http://www.gundam.info/content/423 (มีแต่ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้นครับ)

 
 

An Internet Site Introduces Tokyo’s Attractions

“Welcome to Tokyo” เป็นเว็บเพจใหม่ที่ มีเนื้อหาเป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นและเกมส์ตอบคำถาม เพื่อแนะนำจุดที่น่าดึงดูดใจต่างๆของกรุงโตเกียว ซึ่งเว็บเพจนี้ได้ถูกเพิ่มเข้าไปในเว็บไซต์ของกรุงโตเกียว โดยตลอดระยะเวลา 11 นาทีของการ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่อง “Honey Tokyo” ประกอบไปด้วยภาพของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่ได้รับความนิยมภายในเมือง และถึงแม้ว่าแอนิเมชั่นนี้จะทำการบันทึก เป็นภาษาญี่ปุ่นแต่คุณสามารถเลือกคำบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน เยอรมัน อิตาลี จีน หรือเกาหลีได้ นอกจากนี้ในเว็บไซต์เดียวกันนี้ยังมีบริการ “Rally Tokyo” ซึ่งเป็นบริการให้ดาวน์โหลดแผนที่เพื่อช่วยให้คุณสามารถ สำรวจเมืองโดยผ่านการตอบคำถามเกี่ยวกับความลับที่ซ่อนอยู่ของกรุง โตเกียว (เป็นภาษาญี่ปุ่นหรืออังกฤษ) ติดตามได้ที่

www.kanko.metro.tokyo.jp/welcome/

ที่มา : นิตยสาร Hiragana Times, June 2010

 
 

วิธีการใช้ทวิตเตอร์แนวใหม่

สวัสดีครับ ช่วงนี้ในโลก อย่างเช่นเมืองไทยและญี่ปุ่นมีคนที่ใช้ทวิตเตอร์เพิ่มขึ้นนะครับ ที่โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะเองก็มีการปรับปรุง “การเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วย Twitter” ทุกวันครับ

อย่างไรก็ดี ที่ญี่ปุ่นวิธีการใช้ทวิตเตอร์ที่มีประโยชน์เกินคาดกำลังกลายมาเป็นหัวข้อสนทนาอยู่ในขณะนี้ โดยมีอากิฮาบาระ เมืองที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้คลั่งไคล้เกม และการ์ตูนแอนิเมชั่น ในกรุงโตเกียวเป็นสถานที่เกิดเหตุครับ

เมื่อเวลา 20.34 น. ของค่ำวันที่ 5 พฤษภาคมปีนี้ เกิดการทวิตข้อความว่า “(ต้องการด่วน) ต้องการกระดาษชำระ ในห้องน้ำชายชั้น 3 ตึกโยโดบาชิ อากิฮาบาระ” และ “ช่วยด้วย ไม่มีกระดาษ ในห้องน้ำชายชั้น 3 ตึกโยโดบาชิ อากิฮาบาระ” ครับ

“โยโดบาชิ อากิฮาบาระ” เป็นห้างขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในอากิฮาบาระ และได้ยินว่าผู้ชายคนที่ทวิตข้อความดังกล่าว ได้รับกระดาษชำระในอีกประมาณ 20 นาทีต่อมาครับ เรื่องนี้กลายเป็นหัวข้อสนทนาว่าเป็น “เรื่องนี้ดีจังเลยนะ” ในแวดวงอินเตอร์เน็ต และผู้ชายคนนั้นก็ถูกเรียกว่า “หนุ่มห้องน้ำ” ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เลยล่ะครับ

อย่างไรก็ดี ผมยังไม่เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง 100% ครับ เพราะถ้าเป็นห้องน้ำของร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใหม่ที่สุด จะเป็นความภาคภูมิใจของญี่ปุ่นต่อชาวโลก ผลิตภัณฑ์ที่ใช้น่าจะมีเทคโนโลยีชั้นแนวหน้าอย่างพรั่งพร้อมนะครับ นั่นคือ “วอชุเร็ตโตะ” เครื่องล้างก้น และเป่าแห้งอัตโนมัติ กลับญี่ปุ่นคราวหน้า คิดว่าผมอยากจะไปพิสูจน์ที่ร้านนั้นให้ได้เลยครับ

 

ประเทศไทยเคยช่วยญี่ปุ่น

สวัสดีครับ ตอนนี้ผมมาทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น ต้นไม้สองฝากฝั่งถนนหนทางของกรุงโตเกียวในเดือนพฤษภาคมสวยงามมากเลยครับ แถมอากาศก็ดีมากด้วย น่าอยู่มากเลยล่ะครับ

ในวันนี้ผมอยากจะแนะนำ “หออนุสรณ์แห่งการฟื้นฟู(復興記念館)” ที่เมืองเรียวโกคุ ในกรุงโตเกียวครับ (เรียวโกคุมีชื่อเสียงในฐานะเป็นเมืองที่อยู่อาศัยของเหล่าซูโม่ครับ) ดูรายละเอียดได้ที่

http://www.tokyoireikyoukai.or.jp/kinenkan.html

นับจากตอนนี้เมื่อ 87 ปีก่อน ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ในแถบคันโตหรือ “คันโต ไดชินไซ(かんとうだいしんさい)” ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1923 ส่งผลให้ชาวเมืองเสียชีวิตมากกว่า 1 แสนคน โดยกรุงโตเกียวได้รับความเสียหายในเหตุการณ์นี้อย่างย่อยยับ สิ่งก่อสร้างนี้จึงเป็นสิ่งบอกเล่าถึงโศกนาฏกรรมที่เกิดจากแผ่นดินไหวไปยังคนรุ่นหลัง นอกจากนี้ยังสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงงานใหญ่ในขณะนั้นในการเปลี่ยนสภาพกองเศษซากปรักหักพังไปเป็นกรุงโตเกียวที่ได้รับการฟื้นฟูครับ โดยในส่วนภายในตัวอาคาร มีการจัดแสดงเอกสารเกี่ยวกับความเสียหายจากมหันตภัยแผ่นดินไหวอีกด้วย


นอกจากภายในจะมีรูปภาพจัดแสดงแล้ว ยังมีสิ่งของจัดแสดงที่ดูมีชีวิตชีวาจนนึกไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งของจากเมื่อ 87 ปีที่แล้ว เช่นรถยนต์ที่อ่อนยวบและหักงอ รวมถึงแผ่นเหล็กที่ปลิวกระเด็นกระดอนออกมาจากเหตุไฟไหม้ หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่แล้วไปติดตามต้นไม้และกิ่งไม้เป็นต้นครับ เมื่อได้เห็นเอกสารที่จัดแสดงก็มีความจริงที่ผมเพิ่งจะรู้เป็นครั้งแรก

นั่นก็คือ จากแผนภูมิแสดงเงินช่วยเหลือและสิ่งของที่ส่งมาให้ญี่ปุ่นจากทั่วทุกมุมโลกหลังเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งในขณะนั้นญี่ปุ่นยังเป็นประเทศยากจน ซึ่งแม้ว่าแต่ละประเทศจะให้การช่วยเหลือเงินสนับสนุนมาเช่นกัน แต่เงินช่วยเหลือจากประเทศไทย มีจำนวนมากที่สุดในบรรดาประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มากกว่าประเทศในยุโรปอย่างเยอรมนี อิตาลี และนอร์เวย์เสียอีก ถึงประเทศไทยในตอนนั้นจะไม่ใช่ประเทศที่มั่งคั่งบริบูรณ์ แต่สายสัมพันธ์ของมิตรภาพที่ผูกพันระหว่างประเทศไทยและญี่ปุ่นคงจะแนบแน่นมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้วล่ะครับ

อนึ่ง ประเทศที่ให้เงินช่วยเหลือแก่ญี่ปุ่นมากที่สุดคือสหรัฐอเมริกาครับ ได้ยินว่ามีการจัดการเรี่ยไรเงินจากพลเมืองชาวอเมริกันเป็นจำนวนมากเพื่อช่วยเหลือประเทศเล็กๆที่ยากจนในเอเชียอย่างญี่ปุ่น แต่ตอนนั้นคงเป็นเรื่องที่ใครก็คงจะไม่คาดคิดว่าในอีก 18 ปีต่อมา หรือในค.ศ. 1941 จะเกิดสงครามระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกานะครับ

 

วิธีการเลือกโรงเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ดี (ภาค3)

คราวที่แล้ว ใน “วิธีการเลือกโรงเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ดีภาค 2” ได้แนะนำเว็บไซต์ที่มีประโยชน์ คือ “เว็บไซต์ฐานข้อมูลโรงเรียนภาษาญี่ปุ่นทั่วประเทศ” ดังรายละเอียดดังนี้http://www.aikgroup.co.jp/j-school/japanese/index.htm ไปแล้วนะครับ จากนี้ไปจะขอแนะนำว่ามีจุดใดบ้างที่ควรระวังเป็นพิเศษจากข้อมูลดังกล่าวครับ

(1) ขนาดของโรงเรียน

เพื่อให้ได้โรงเรียนที่เปิดสอนหลักสูตรที่ตรงกับวัตถุประสงค์และระดับภาษาญี่ปุ่นของเราอยู่เสมอ คิดว่าควรจะเลือกโรงเรียนที่มีขนาดใหญ่จะดีกว่าครับ เพราะโรงเรียนที่มีขนาดเล็ก ใน 1 ปีการศึกษาจะมีจำนวนนักเรียนน้อย และเมื่อนักเรียนเลื่อนระดับขึ้น จำนวนนักเรียนจะลดลง จนอาจเกิดกรณีที่ไม่สามารถเปิดหลักสูตรการเรียนขึ้นได้ครับ

(2) การบรรลุเป้าหมายของหลักสูตรและระยะเวลาเปิดหลักสูตร

กรุณาตรวจสอบว่าโรงเรียนดังกล่าวเปิดหลักสูตรที่ตรงกับวัตถุประสงค์ในการไปศึกษาต่อต่างประเทศของเราหรือไม่ เช่น ทั้งๆ ที่เรามีความต้องการจะไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ก็อย่าเลือกโรงเรียนที่ไม่มีชั้นเรียนแนะแนววิชาเรียน หรือแนะแนวการเขียนผลงานทางวิชาการเพื่อการสอบเข้านะครับ

(3) จำนวนอาจารย์ประจำ

จำนวนอาจารย์ประจำมีความเกี่ยวพันโดยตรงกับคุณภาพชั้นเรียนของโรงเรียนนั้นๆ เนื่องจากอาจารย์ประจำหมายถึง อาจารย์ที่สอนที่โรงเรียนนั้นเพียงแห่งเดียว ซึ่งต้องใส่ใจไม่เพียงแต่เรื่องชั้นเรียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกิจการทั้งหมดของโรงเรียน และนักเรียนแต่ละคนอีกด้วย นอกจากนี้ โรงเรียนที่ด้อยคุณภาพ ซึ่งมีจำนวนอาจารย์ประจำน้อย มักจะมีการเพิ่มจำนวนอาจารย์ชั่วคราวที่ค่าแรงต่ำอีกด้วยครับ

 

วิธีเลือกโรงเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ดี (ภาค2)

“วิธีเลือกโรงเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ดี” ครั้งที่ 2 ครับ คราวนี้คิดว่าอยากจะแนะนำ “วิธีการรวบรวมข้อมูลในการหาโรงเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ดี” ครับ ดูเหมือนว่าทุกๆท่านที่มีความสนใจจะไปศึกษาต่อที่โรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่น ส่วนใหญ่จะรวบรวมข้อมูลผ่านทางเอเย่นต์ หรือไม่ก็นิทรรศการการศึกษาต่อนะครับ ในจำนวนนี้ก็มีบางคนที่ได้รับข้อมูลจากเอเย่นต์เพียงอย่างเดียวเป็นหลัก แล้วก็ตัดสินใจเลือกโรงเรียนด้วยครับ

สิ่งที่อยากให้พิจารณาก็คือ ค่าใช้จ่ายในการไปศึกษาต่อที่โรงเรียนภาษาญี่ปุ่น เอาแค่ค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ค่าเดินทาง ในเวลา 1 ปี จะใช้เงินไปเกือบๆ 1 ล้านบาท ถือเป็น “การซื้อของ” ที่ราคาแพงมาก อย่างเช่นถ้าทุกคนตั้งใจจะซื้อของ (เช่น รถยนต์) ในราคา 1 ล้านบาท ทุกคนก็คงต้องหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต หรือฟังจากผู้ใช้จริง ทั้งเรื่องราคา ประสิทธิภาพ ชื่อเสียง และข้อติติงจากผู้ใช้ ใช่ไหมล่ะครับ การเลือกโรงเรียนภาษาญี่ปุ่นก็เช่นเดียวกันครับ คิดว่าจะต้องค้นหา ตรวจสอบข้อมูลให้เพียงพอก่อนตัดสินใจจะดีกว่า

เอเย่นต์แนะแนวการศึกษาต่อที่แนะนำโรงเรียนภาษาญี่ปุ่นให้กับนักเรียนเป็นธุรกิจรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะได้รับค่าแนะนำหรือค่านายหน้า (โดยปกติแล้วจะเทียบเท่ากับค่าธรรมเนียมแรกเข้า) จากโรงเรียนดังกล่าวด้วยครับ เพราะฉะนั้น จึงมีแนวโน้มว่าเอเย่นต์จะกระตือรือร้นจะแนะนำโรงเรียนจากเหตุผลที่ให้ค่าแนะนำสูง และมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งมากกว่าครับ

ถ้าหากได้รับการแนะแนวการศึกษาต่อในโรงเรียนจากเอเย่นต์ กรุณาลองรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนนั้นด้วยตัวเองดูนะครับ โดยสามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ที่มีประโยชน์ คือ “เว็บไซต์ฐานข้อมูลโรงเรียนภาษาญี่ปุ่นทั่วประเทศ” ดังนี้http://www.aikgroup.co.jp/j-school/japanese/index.htm

โดยเว็บไซต์นี้จะมีการเปิดเผยตั้งแต่เค้าโครงพื้นฐานของโรงเรียน ไปจนถึงข้อมูลที่จำเป็นในการเลือกโรงเรียนภาษาญี่ปุ่นครับ ส่วนวิธีการดูข้อมูลเหล่านี้ ผมจะอธิบายต่อไปในภาค 3 ครับ

 

ใครๆ ก็อ่านคาตาคานะได้

สวัสดีครับ ในภาษาญี่ปุ่นสิ่งที่ทั้งยาก และเหนือความคาดหมายก็คือ “คาตาคานะ” ครับ แม้แต่คนไทยที่ค่อนข้างจะเก่งภาษาญี่ปุ่น ก็ยังมีคนที่ “เขียนคาตาคานะอย่างถูกต้องไม่ได้” เป็นจำนวนมากอย่างคาดไม่ถึง ด้วยเหตุนั้นจึงได้มีการคิดค้นบล็อกที่แนะนำตัวแบบอักษรคาตาคานะที่น่าสนใจออกมาครับ ติดตามได้จาก

http://www.designboom.com/weblog/cat/8/view/7827/johnson-banks-phonetikana.html

ได้ยินว่าดีไซเนอร์ชาวต่างประเทศที่ตอนเดินทางไปญี่ปุ่นแล้วอ่านตัวอักษรไม่ออก ทำให้พบความยากลำบากมากเป็นคนคิดค้นขึ้นครับ โดยเป็นตัวอักษรที่บรรจุลงในตัวอักษรคาตาคานะ เพื่อแก้ปัญหา “จะอ่านยังไงดีนะ” น่ะครับ เก๋ใช่ไหมล่ะครับ

 
1 Comment

Posted by on 04/26/2010 in By Khun Shu, Cool Site, Fashion, Variety

 

Gundum Café เปิดที่อาคิฮาบาระ!

อนิเมชั่นที่ได้รับความนิยมแม้แต่ในหมู่คนไทยในช่วงนี้อย่าง “MOBILE SUIT GUNDAM” (機動戦士ガンダム) โดยบริษัทบันไดผู้ผลิตของเล่นของญี่ปุ่น ได้ใช้ “กันดั้ม” มาเป็นธีมในการประกาศเปิดกิจการร้านเมื่อวันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมาที่เขตอาคิฮาบาระ ในกรุงโตเกียว ติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://g-cafe.jp/

โดยเมนูอาหารจะเป็นชื่อจากเรื่องกันดั้ม และในร้านจะมีหน้าจอมอนิเตอร์ฉายการ์ตูนอนิเมชั่นเรื่องกันดั้ม นอกจากนี้ พนักงานสาวๆ ในร้านยังแต่งเครื่องแบบเหมือนตัวละครในเรื่องกันดั้มในการต้อนรับลูกค้า เป็นข้อมูลที่แฟนๆ ชอบสุดๆ เลยล่ะครับ

ร้าน “กันดั้มคาเฟ่” แห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ JR อาคิฮาบาระ ครับ ตัวอย่างเช่น ตัวละครที่ได้รับความนิยม “ชาร์ อัสนาเบิล” ซึ่งมีภาพลักษณ์เป็นคนที่ขับหุ่นยนต์สีแดง จึงเหมาะกับพาสต้านโปเลียน และตั้งชื่ออาหารใหม่ว่า “ดาวหางสีแดง” เป็นต้น ทั้งนี้ ได้ยินว่าเมนูอาหารมีถึง 65 ชนิด หลักสูตรสามสัปดาห์ครั้งหน้า อยากจะพานักเรียนไปให้ได้เลยครับ

เมื่อปีที่แล้วเป็นปีครบรอบ 30 ปีที่กันดั้มออกฉาย ถือว่าเป็นรายการอนิเมชั่นทางโทรทัศน์ที่มีประวัติศาสตร์นะครับ ที่จริงตัวผมเอง (คุณชู อายุ 38ปี) สมัยเด็กก็ชอบหมกมุ่นกับความฝันอยู่คนเดียว โดยเฉพาะกับพลาสติกโมเดลที่ฮิตมากๆ ในวันที่โมเดลเริ่มออกขาย จำได้ดีว่าผมกับเพื่อนจะไปเข้าแถวรอที่หน้าห้างสรรพสินค้าตั้งแต่เช้าครับ จะว่าไป ถ้าเปรียบเทียบกันดั้มในตอนนั้นกับกันดั้มเวอร์ชั่นปัจจุบันแล้ว ถือว่าตอนนั้นธรรมดา พื้นๆ มากเลยล่ะครับ

กันดั้มเมื่อ 30 ปีที่แล้ว


กันดั้มในปัจจุบัน Double O Raiser”

 

บัตรแสนสะดวกเพื่อการคมนาคมในญี่ปุ่น

สวัสดีครับ ช่วงนี้คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นจริงๆ เลยนะครับ หลังจากที่ไปหลักสูตรภาษาญี่ปุ่นสามสัปดาห์กับโรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ช่วงสงกรานต์ผมก็ยังอยู่ที่โตเกียวต่อ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ได้ยินคนพูดภาษาไทยครับ จากสถิติของกระทรวงการท่องเที่ยวรัฐบาลญี่ปุ่น ระบุว่าในปีค.ศ. 2009 มีคนไทยมาเที่ยวประเทศญี่ปุ่นประมาณ 177,500 คน เมื่อแบ่งตามประเทศหรือท้องที่แล้วพบว่า มีจำนวนมากเป็นอันดับที่ 5 รองจากเกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน และฮ่องกงครับ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ http://www.jnto.go.jp/jpn/downloads/2009_total.pdf

นอกจากนี้ ไม่เพียงแต่การท่องเที่ยวกับองค์กรเท่านั้น แต่ดูเหมือนการท่องเที่ยวแบบส่วนตัวก็เพิ่มขึ้นอีกด้วย เห็นได้จากการที่เริ่มมีหนังสือนำเที่ยวสำหรับผู้ที่ต้องการท่องเที่ยวแบบส่วนตัวอยู่ตามร้านหนังสือนะครับ


ผมเลยขอแนะนำบัตรแสนสะดวกที่จะขาดไม่ได้ สำหรับคนที่จะไปท่องเที่ยวแบบส่วนตัว และจะอยู่ญี่ปุ่นเป็นเวลานานๆ เหมือนนักเรียนที่ไปหลักสูตรภาษาญี่ปุ่นสามสัปดาห์ครับ นั่นคือ บัตร SUICA (SUICAカード) กับบัตร PASMO (PASMOカード) ซึ่งสามารถใช้ได้กับทั้งรถบัสและรถไฟเกือบทุกสายทุกเที่ยวรอบๆ เขตโตเกียว ดังรายละเอียด
http://www.jreast.co.jp/suica/
http://www.pasmo.co.jp/en/index.html

โดย SUICA มาจากคำว่า “ผ่านได้ตลอด” (スイッと通れる) กับคำว่า “บัตร”  (カード-Card) กลายเป็น “スイカ” และมีโลโก้เป็นรูปแตงโม หรือスイカ ในภาษาญี่ปุ่น ขณะที่ PASMO เป็นคำศัพท์ที่ประกอบจากคำว่า “ผ่าน” (パス-Pass) กับ “เคลื่อนที่” (モバイル-Mobile) กลายเป็น パスモ ครับ

บัตรนี้ สามารถซื้อได้อย่างง่ายดายที่ตู้จำหน่ายอัตโนมัติที่มีอยู่ในสถานีรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน สามารถเติมเงินได้ทั้งระดับ 1000 เยน, 2000 เยน, 3000 เยน, 5000 เยน และ 10000 เยน ถ้าหากจำนวนเงินไม่พอสามารถเติมเพิ่มได้อีก (จำนวนเงินคงค้างสูงสุดไม่เกิน 20000 เยน) แม้บัตรนี้จะมีค่ามัดจำ 300 เยน แต่ถ้าจะกลับเมืองไทยก็แค่คืนบัตรนี้ แล้วจะได้รับเงินมัดจำคืนครับ ข้อดีมากๆ ของบัตรนี้ก็คือ สามารถใช้ได้ที่สถานที่ต่างๆ มากมาย อาทิ ร้านสะดวกซื้ออย่าง Family Mart หรือ Lawson ร้านค้าในสถานีรถไฟหรือสนามบิน ตู้จำหน่ายน้ำผลไม้อัตโนมัติ ร้านจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้า เป็นต้น

นอกจากนี้ สถานที่ที่สามารถใช้บัตร SUICA ได้ ก็จะสามารถใช้บัตร PASMO ได้ด้วย และแน่นอนว่าที่ที่สามารถใช้บัตร PASMO ได้ ก็ย่อมใช้บัตร SUICA ได้เช่นกันครับ

ในเมืองไทยเอง มีบัตรประเภทที่สามารถใช้ได้กับรถไฟฟ้า BTS รถไฟฟ้าใต้ดิน รวมถึงบริษัทเดินรถบัสทั้งหมด อีกทั้งยังสามารถใช้ได้ที่ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ร้านสะดวกซื้อบ้างไหมครับ ถ้าที่เมืองไทยมีแบบนี้บ้าง คิดว่าน่าจะสะดวกดีนะครับ แต่กว่าที่จะแพร่หลายได้ แม้แต่ในญี่ปุ่นเองก็ได้ยินว่าใช้เวลานานเหมือนกันครับ

 
Leave a comment

Posted by on 04/22/2010 in By Khun Shu, Cool Site, Variety

 

เรียนภาษาญี่ปุ่นจากอนิเมชั่นและการ์ตูน

เว็บไซต์เรียนภาษาญี่ปุ่นจากอนิเมชั่นและการ์ตูน หรือ 「アニメ・漫画の日本語」เป็นเว็บไซด์ใหม่ที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนภาษาญี่ปุ่นสามารถสนุกสนานกับการเรียนด้วยอนิเมชั่นและการ์ตูน โดยบทเรียนมีพื้นฐานมาจากบทสนทนาที่ใช้ในอนิเมชั่นและการ์ตูนที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ เนื้อหาบทสนทนาทั่วไปมาจากกลุ่มตัวละครเช่น เด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิง ซามูไร คุณหนู และหัวหน้าคนใช้ ซึ่งจะมีการแนะนำตัวพร้อมเสียงและภาพตัวอย่างประกอบ นอกจากนี้ยังมีคำถามและเกมให้ร่วมสนุกได้ ที่สำคัญที่สุดคือ เนื้อหาและรูปแบบการเรียนรู้ยังมีการปรับเปลี่ยนได้ ตามความชอบและความสามารถทางภาษาญี่ปุ่นของผู้ใช้บริการอีกด้วย ผู้สนในสามารถตามไปทดลองใช้บริการได้ที่ http://www.anime-manga.jp

ที่มา : นิตยสาร Hiragana Times, MARCH 2010

 
Leave a comment

Posted by on 04/21/2010 in By Khun Shu, Cool Site, Variety

 

สาวสวยบอกเวลา … นาฬิกาสาวสวย

พี่หมีขอแนะนำเว็บไซต์ที่กำลังฮิตสุดๆที่ญี่ปุ่น ณ บัดนาว

http://www.bijint.com

มาจากชื่อเต็มคือ bijin-tokei (美人時計)หรือนาฬิกาสาวสวย

เว็บไซต์นี้จะรวบรวมสาวสวยหน้าตาดีทั่วประเทศญี่ปุ่น และจะเปลี่ยนภาพทุก1นาที รวมถึงมีการบอกประวัติสั้นๆ ของเจ้าของรูป อาทิ  ชื่อ วันเดือนปีเกิด เมืองที่อาศัยอยู่ กรุ๊ปเลือด ความสูง สัดส่วน อาชีพ และเว็บไซต์ที่ชอบ เป็นต้น แถมยังสามารถเลือกชมในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษได้อีกด้วย เว็บไซต์นี้มียอดผู้เข้าชมในแต่ละเดือนถึง 240 ล้านคน

อุว๊าว … คลิกเข้าไปกันด่วนๆๆๆ
ส่วนคุณสาวๆ ก็อย่าเพิ่งน้อยใจไปนะจ๊ะ เพราะถึงแม้ชื่อเว็บไซต์จะเป็นนาฬิกาสาวสวย แต่ก็มีภาพหนุ่มๆ หน้าตาดีให้ดูเหมือนกันในชื่อของ binan-tokei (美男時計) หรือนาฬิกาหนุ่มหล่อ แต่จะถูกใจมากแค่ไหนนั้น คงต้องลองเข้าไปชมกันด้วยตัวเองจ๊า

 
3 Comments

Posted by on 01/25/2010 in Cool Site

 

อัพเดททิวทัศน์ทั่วญี่ปุ่นสดๆ ได้ที่นี่กันเล๊ย

วันนี้มีเว็บเด็ดๆ สวยๆ เอามาแบ่งกันชมจ๊ะ
http://orange.zero.jp/zad23743.oak/livecam/


ไม่ว่าจะเป็นสถานที่สำคัญ  …
แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ …
สถานที่ช๊อปปิ้ง …
ศูนย์รวมวัยรุ่น …
หรือแม้แต่ถนนหนทางทั่วไป ในจังหวัดต่างๆ ของญี่ปุ่น
ไม่ว่าจะเป็นโตเกียว  …
เกียวโต …
ฮอกไกโด …
โอซาก้า …
ฟุกุโอกะ …
หรือ โอกินาว่า …
แต่ต้องบอกก่อนนะคะว่ามีแต่เวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่น
ใครอยากชมภาพถ่ายทอดสดจากเจแปนก็ต้องหมั่นฝึกภาษาญี่ปุ่นให้คล่องแล้วล่ะค่ะ

 
Leave a comment

Posted by on 01/19/2010 in Cool Site

 

J-Life : Special Edition


วารสาร J-Life ฉบับพิเศษ
แนะนำมหาวิทยาลัย 13 แห่ง ในประเทศญี่ปุ่น ที่ได้รับการยอมรับว่า
เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด

สำหรับวารสาร J-Life นี้ เป็นวารสารแจกฟรีที่ญี่ปุ่นนะคะ
ซึ่งปกติจะพิมพ์เป็นภาษาญี่ปุ่น   แต่สำหรับฉบับ Special Edition นี้  เป็นฉบับพิเศษซึ่งจัดพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ สำหรับนักศึกษาต่างชาติที่กำลังสนใจหาข้อมูลการศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่น  โดยจะแนะนำมหาวิทยาลัยชื่อดังที่ได้รับการจัดอันดับ และเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับการยอมรับค่ะ

สามารถอ่านแบบ E-Book ได้  คลิกที่นี่เลยจ้า

 
Leave a comment

Posted by on 01/18/2010 in Cool Site