ติณณวัฒน์ เนื่องจำนงค์ หรือ ฟีล์ม เรียนจบระดับชั้นมัธมปลายจากโรงเรียนสารสาสน์เอกตรา
จบปริญญาตรีคณะศิลปะศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ (SILS) จากมหาวิทยาลัยวาเซดะ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ขณะนี้กำลังเตรียมตัวเพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาโทอยู่ที่ญี่ปุ่นเช่นกันค่ะ
หลังจากที่เรียนจบม .ปลายที่เมืองไทย ฟิล์มมาเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่ญี่ปุ่นได้อย่างไรคะ
ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว จำได้ว่าตอนนั้นผมก็ยังงงๆกับชีวิตก็ตัวเองอยู่เหมือนกัน รู้แค่เพียงว่าอยากไปญี่ปุ่น
คือเป็นที่ไหนก็ได้ ขอแค่เป็นญี่ปุ่น คือช่วงนั้นก็กำลังเบื่อๆกับชีวิตประจำวันของตัวเองที่เมืองไทย
และบังเอิญคุณแม่ไปเจอ Waseda Education Thailand ที่บูธงานศึกษาต่อต่างประเทศ
แล้วก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณชูอิชิ ทาคาฮาชิ ซึ่งได้แนะนำให้ลองสมัครที่ วาเซดะ หรือไม่ก็ APU
ผมก็ลองสมัครไป ซึ่งโชคดีที่ได้ทั้งสองที่เลยนะครับ แต่ผมตัดสินใจเลือกที่วาเซดะ เพราะคนไทยน้อยกว่ามาก
แล้วก็อยู่ในโตเกียวด้วย จำได้ว่าตอนนั้น เดินทางไปเรียนต่ออย่างไร้จุดมุ่งหมาย
เนื่องจากว่ายังไม่ได้มีแพลนอะไรไว้ในหัวเลย
ปัจจุบันกำลังจะศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ญี่ปุ่น ช่วยเล่าถึงหลักสูตรที่เรียน
และ วิชาที่เรียนเป็นอย่างไร เรียนอะไรบ้างคะ
ตอนนี้กำลังสมัครเข้าระดับปริญญาโทอยู่ครับ สมัครไว้สองที่กันเหนียว มหาวิทยาลัยหนึ่งก็ตอบรับแล้วครับ
ส่วนอีกที่คือ มหาวิทยาลัยวาเซดะ คณะที่จะเรียนต่อคือ Graduate School of Asia-Pacific Studies (GSAPS)
แปลเป็นภาษาไทยง่ายๆก็คือ การศึกษาเกี่ยวกับภูมิภาคเอเซีย สาขาหลักที่ลงไว้ก็คือ
Telecommunications Economics, Business and Policy Evaluation
ซึ่งให้ความสำคัญกับการสื่อสารในรูปแบบต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อ ธุรกิจและเศรษฐกิจ
ส่วนอีกที่ที่สมัครไว้ และอยากจะไปมากๆๆๆๆ ก็คือที่ Nagoya University
คณะ Graduate School of International Development (GSID)
สาขา International Development (DID) ซึ่งเน้นหนักไปในด้านการพัฒนาประเทศที่กำลังพัฒนา
โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาทางทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เพื่อนบ้านเรานี่เอง) ซึ่งผมคิดว่าน่าสนใจมาก
เพราะผมเชื่อว่าอีกไม่นาน ประเทศเพื่อนบ้านของเราจำเป็นกำลังสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ในขณะที่ความมั่นคง
ของแรงงานจีนกำลังลดลงทุกวัน ทั้งนี้ทั้งนั้น เหตุผลหลักๆเลยที่อยากไปนาโกยา ก็เพราะตอนนี้เริ่มเบื่อโตเกียวแล้ว
และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ จะได้ไปช่วยที่บ้านทำงานด้วย เพราะมีออฟฟิศของบริษัทครอบครัวประจำอยู่ที่นาโกยา
เรียนไปทำงานไป แอบพ่อเที่ยวได้ด้วย ยิ่งปืนนัดเดียวได้นกเต็มเลย (หัวเราะ)
อยู่ญี่ปุ่นมากี่ปีแล้วคะ และช่วยเล่าชีวิตที่ญี่ปุ่น หลังจากที่อยู่อาศัยมาในระยะหนึ่ง
ผมอยู่ญี่ปุ่น 4 ปีเต็มๆแล้วครับ ถ้าจะให้เล่ากันจริงๆมันจะยาวมากๆเลย เริ่มจากตอนเข้ามาเป็นน้องเฟรชชี่ปีหนึ่ง
เป็นช่วงที่ทรมานมาก ภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ได้ คนญี่ปุุ่นเขาคิดอะไรกันก็ไม่เข้าใจเพราะเขาแตกต่างกับเรามากๆ
ผมเริ่มต้นชีวิตที่ญี่ปุ่นจากหอพักชายวาเคจุกุ ที่ขึ้นชื่อเลยว่าโหดเหี้ยมมากๆ(ฮ่าๆๆ) เนื่องจากการจัดการระบบต่างๆของหอพัก
ค่อนข้างอย่างมีระเบียบมากๆ โดยเฉพาะเรื่องของความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง รุ่นน้องต้องฟังรุ่นพี่ทุกอย่าง สั่งให้ทำอะไรก็ทำ
ไม่อย่างนั่นจะโดน ignore แน่นอน ผมก็โดนมาแล้วครับ พอขึ้นปีที่สองผมก็เริ่มเข้าชมรม ทำกิจกรรมต่างๆ
ช่วยงานของทางมหาวิทยาลัย … ส่วนเรื่องเรียนก็เอาแค่พอไปได้ เน้นกิจกรรมเพื่อหาประสบการณ์มากกว่าครับ
ซึ่งมันก็สนุกดีนะ ได้เรียนรู้สิ่งที่สร้างสังคมญี่ปุ่น เรียนรู้ระบบระเบียบของเขา รู้จักวิธีการทำงานของเขา
ข้าใจความคิดของคนญี่ปุ่นมากขึ้น ในทางกลับกันก็เริ่มตั้งคำถามตัวเอง ว่าเราทำอะไรอยู่กันแน่ เรามาที่ญี่ปุ่นเพื่ออะไรกันแน่
ปีที่สองคือ “วันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน” เป็นปีที่ตัวเองมีจุดมุ่งหมาย สร้างความฝันของตัวเองเพื่อเดินตามไป
จุดหมายหลักๆเลย ก็คือ อยากจะเป็นประธานชมรมที่ตัวเองทำกิจกรรมอยู่ เป็นคนที่แม้แต่คนญี่ปุ่นก็เคารพ รัก
กลับมาประเทศไทยอย่างมีค่า ไม่ใช่กลับมาอย่างไร้ตัวตน ผมทำงานกระทั่งตั้งโต๊ะขายขนมครกไทยๆ ในงานมหาวิทยาลัย
ทำแบบงูๆปลาๆ บริหารกันมั่วๆซั่วๆสไตล์ไทย แน่นอนครับ ล้มเหลวไม่เป็นท่า ขาดทุนไปหนึ่งแสนเยน นั่งเซ็งอยู่หลายวัน
แต่ประสบการณ์ครั้งนั้น ทำให้ได้เรียนรู้อะไรเยอะมากๆ
จุดเปลี่ยนแปลงความคิดและแนวทางในการใช้ชีวิต อยู่ประมาณช่วงปีไหน
น่าจะเป็นช่วงที่เข้าสู่ปีที่สามและสี่ครับ เพราะเป็นช่วงที่ได้ใช้้เวลาสะสมประสบการณ์ ใช้เวลาค้นหาตัวเอง
สร้างกำลังสร้างฐานของตัวเองให้มั่นคง เพื่อจุดหมายที่ตั้งไว้ ปีที่สี่เป็นปีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในทุกๆด้าน
การเรียนก็เก็บหน่วยกิจครบหมดแล้วจบได้ชัวร์ๆ ขึ้นปีสี่ ในที่สุดเพื่อนๆเขาเลือกให้ผมขึ้นเป็นประธานชมรม
เป็นประธานชมรมคนเดียวที่จดทะเบียนกับทางมหาวิทยาลัยที่เป็นคนต่างชาติ ชมรมที่บริหารมาก็ประสบความสำเร็จ
สื่อต่างๆเข้ามาขอสัมภาษณ์ ทั้งสื่อในโรงเรียน สื่อนอกโรงเรียน เป็นตัวแทนออกทีวีช่อง NHK Education
ส่วนวิทยานิพนธ์ก็ปั่นเอาวินาทีสุดท้าย แต่ก็จบไปได้ด้วยดีครับ
สรุปแล้วผมค่อนข้างพอใจกับชีวิตที่ญี่ปุุ่นมาก ผิดพลาดก็เยอะ แต่ทุกอย่างมันคุ้มค่ากับที่ลงแรงไป จุดหมาย
หรือความฝันที่ตั้งไว้ก็เดินทางไปครบหมดแล้ว
ชีวิตนักศึกษาชาวญี่ปุ่น ฟิล์มคิดว่า เหมือน หรือ แตกต่างจากชีวิตนักศึกษาไทยอย่างไร
แตกต่างกันมากครับ แทบจะหาที่เหมือนกันไม่ได้เลย พูดกันตรงไปตรงมาเลยนะครับ เด็กนักเรียนไทยติดเล่นติดสนุก
ชีวิตมหามหาวิทยาลัยเอาไปเที่ยวเล่นซะมากกว่า จบออกมาแล้วไม่มีผลงาน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนอกจากกระดาษหนึ่งใบ
เห็นๆกันอยู่ทุกวันนะครับ เทรนด์เกาหลีมา ก็พากันเกาหลีทั้งประเทศ เทรนด์บีบีมา ก็พากันใช้บีบีไปทั้งประเทศ
ขาดความเป็นตัวของตัวเอง ขาดจุดยืนของตัวเอง ขาดจุดมุ่งหมายของตัวเอง ต่างกันมากกับชิวิตนักศึกษาญี่ปุุ่น
ชิวิตในมหาวิทยาลัย สำหรับคนญีปุ่น คือช่วงเวลาที่ตัวเองจะได้มีอิสระมากที่สุด ก่อนที่จะโดนโขกสับในที่ทำงาน
ดังนั้นคนญี่ปุุ่นจึงใช้เวลาช่วงมหาวิทยาลัยอย่างเต็มที่ ทำทุกอย่างที่อยากทำ ไม่ต้องสนใจใคร ไม่แคร์สายตาใคร
ทำทุกอย่างตามใจตัวเอง เพื่อจุดมุ่งหมายของตัวเอง ไม่เดินตามใคร จะใช้เวลาส่วนใหญ่กับกิจกรรมชมรมที่พวกเขาชอบ
หรือเห็นว่าเป็นผลดีกับตัวเอง แล้วทำกันจริงๆจังๆนะครับ ไม่ใช่ครึ่งๆกลางๆ บางชมรมมีเงินหมุนเวียนหลายเสนเยน
ตัวอย่างเช่น ชมรมที่ผมเป็นประธานก่อนจะเรียนจบ ก็มีเงินหมุนเวียนอยู่เกือบหกแสนเยน
นอกจากทำงานในชมรมแล้ว เวลาว่างก็พวกเด็กญี่ปุุ่่นจะไปทำงานพิเศษหาเงินเก็บไว้เที่ยวต่างประเทศ
บางคนหาเงินส่งตัวเองไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศก็มี สรุปคือ เค้าใช้ชีวิตกันคุ้มค่า เป็นตัวของตัวเอง
ไม่ใช่ไปเที่ยวเล่นกินเหล้าตามผับ เดินห้างกันไปวันๆ
กลับมาพักร้อนที่เมืองไทย 1 เดือน ทำอะไรบ้างคะ
กลับมาคราวนี้ก็มาทำงานกับที่บ้านครับ เป็นช่างซ่อมรถ ทำทุกอย่างที่เขาสั่งให้ทำ แรงงานดีๆนี่เอง
แล้วก็มาเจอเพื่อนๆอันน้อยนิด พักผ่อนเรื่อยเปื่อยตามใจฉัน แต่หลักๆก็คือศึกษาธุรกิจของครอบครัวครับ
อยากอยู่ญี่ปุ่นแบบถาวรไหมคะ
ถาวรนี่ไม่ไหวครับ อยู่ญี่ปุุ่นเหนื่อยนะ ชีวิตในฝันเลยคืออยู่แบบครึ่งๆกลางๆ ครึ่งหนึ่งอยู่ไทย
อีกครื่งอยู่ญี่ปุ่นสลับไปมา มันไม่น่าเบื่อ เหนื่อยก็หนีไปพัก เบื่อก็บินกลับไป ส่วนเหตุจูงใจนั้นมีมากมายเกินจะบรรยายเลยครับ
เอาง่ายๆเลยก็คือ เทคโนโลยีของที่ญี่ปุ่น สะดวกมาก อินเตอร์เน็ตก็เร็ว เดินทางไปไกลแค่ไหนก็มีรถไฟแรงๆไป ยิ่งล่าสุด
อ่านข่าวมาว่าตู้กดน้ำอัดลมแบบใหม่ของญี่ปุ่นเขาจะเปลี่ยนเป็น แบบตู้จอ touch screen 47 นิ้ว ไร้สาระ แต่เท่มาก
น่าอยู่ไหมหละครับ มีอะไรเพี้ยนๆให้ดูทุกวัน ที่สำคัญเลยก็คือชีวิตของคนที่ญี่ปุ่นเขาเป็นระบบระเบียบไปซะทุกอย่าง
ถ้าเราเข้าใจระบบของเขา อะไรๆมันก็สะดวกง่ายดาย วางแผนชีวิตตัวเองไกลๆได้
หลังจากเรียนจบปริญญาโท มีโครงการหรือแผนชีวิตอย่างไรต่อไป
ความฝันอันสูงสุดคือ ผมอยากจะได้ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
จากมหาวิทยาลัยวาเซดะหรือไม่ก็มหาวิทยาลัยนาโกยาครับ
ขอถามคำถามแบบสบายๆ ไม่ซีเรียส …. ไม่วิชาการ
คำถามคือ …. ให้เลือก ระหว่าง สาวไทย กับ สาวญี่ปุ่น และ กรุณาบอกเหตุผล
ไม่วิชาการนี่ถนัดครับ ระดับนี้แล้ว ต้องเลือกทั้งคู่สิครับ =. =!! สาวไทยกับสาวญี่ปุ่นนั้นมีความแตกต่างมากมาย
สาวไทยเราน่ารักน่าเอ็นดูมีเสน่ห์ โดนยิ้มใส่ทีนึงก็ใจหายแล้ว ในขณะที่สาวญี่ปุ่นก็สวยเซ็กซี่เอาใจเก่ง
เป็นตัวของตัวเองสูงปรี๊ดชวนให้หลงใหล สรุปก็คือมีดีต่างกัน
ผมแค่ชอบทั้งสองแบบเท่านั้นเอง ผมไม่ใช่คนปิดกั้นนะ ชาติไหนก็ได้ครับ
คำถามสุดท้ายนะคะ สถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นที่อยากไปมากๆๆๆ
สถานที่ที่อยู่ในใจ อยากพา(แฟน) ไปเที่ยวด้วยกันมากที่ซู๊ดดด
สถานที่ๆผมอยากพาแฟน หรือแฟนๆ หรือว่าที่แฟน ไปนะครับ รองจากบ้านของผมแล้วก็คงไม่พ้น โอไดบะ
โอไดบะเป็นที่ๆไม่ไกลจากโตเกียวนัก มีอะไรหลายๆอย่างให้ทำ สถานที่ช๊อปปิ้งนั้นหรูหรามาก เดินวนๆห้างอย่างเดียว
ก็โรแมนติกแล้ว แถมมีทะเลที่ลงเล่นน้ำไม่ได้ แต่ถ้าหน้าร้อนก็จะมีคนลงไปเล่น wind surf ชวนแฟนไปดูคนเท่ๆ
เผื่อเราจะดูเท่บ้าง ไม่ก็เดินจูงมือกันรอบหาด หรือนั่งเรือทัวร์ก็สนุกดี นอกจากนี้ก็ยังมีสวนสนุก sega ในร่ม
ชิงช้าสวรรค์ ฯลฯ อีกมากมาย … ใช้ชีวิตที่โอไดบะได้ทั้งวัน ไม่เบื่อเลยครับ