RSS

Category Archives: Study Trip in Japan

Summer Program 3 Weeks in Japan ประจำปี 2554

เปิดรับสมัครแล้ว … หลักสูตรภาษาญี่ปุ่นระยะสั้น 3 สัปดาห์ ณ มหาวิทยาลัยวาเซดะ
Summer Program 3 Weeks in Japan ประจำปี 2554
ระหว่างวันที่ 20 มีนาคม – 7 เมษายน 2554
เรียนภาษาญี่ปุ่นระยะสั้นที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ สำหรับนักเรียน นักศึกษา
หรือบุคคลทั่วไปที่มีใจรักภาษาญี่ปุ่น เข้าร่วมกิจกรรมเรียนภาษาและแลกเปลี่ยน
ประสบการณ์ รวมทั้งทำกิจกรรมร่วมกับนักศึกษามหาวิทยาลัยทั้งในและนอกห้องเรียน

ดูรายละเอียดโครงการ

 

 

 

Waseda Study Trip in Japan 2011 ตอนที่ 3 : Odaiba

สวัสดีครับ

โรงเรียนสอนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ ได้จัดหลักสูตร
คอร์สเรียนภาษาและวัฒนธรรม ณ ประเทศญี่ปุ่น   ขึ้นใน
วันที่ 20 มีนาคม ถึง 7 เมษายน นี้ครับ
สัมผัสบรรยากาศการเรียนภาษาญี่ปุ่นและร่วทำกิจกรรมกับนักศึกษาญี่ปุ่นที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ

อีกทั้งยังได้เปิดประสบการณ์ใหม่ กับหลากหลายสถานที่ท่องเที่ยวในกรุงโตเกียว
ครั้งนี้เป็นการนำเสนอในครั้งที่ 3 ครับ สถานที่ที่ผมจะขอแนะนำคือ โอไดบะ

โอไดบะเป็นย่านที่ตั่งอยู่บริเวณอ่าวโตเกียวและอยู่ทางฝั่งตะวันอกของใจกลางกรุงโตเกียว

เดิมทีสร้างโดยการถมทะเลขึ้นมา ปัจจุบันนี้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ
เนื่องจากมีสวนสาธารณะที่เงียบสงบและวิวทิวทัศน์สวยงาม อีกทั้งยังมี Shopping Center
และ อาคารสำนักงานรายล้อมอยู่

หากกล่างถึงโอไดบะแล้ว Rainbow Bridge ก็คงจะเป็นสิ่งที่หลายๆคนนึกถึง
สะพานที่ตั่งอยู่อย่างสง่า โดดเด่น อาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของโตเกียวก็ว่าได้

การเดินทางจากใจกลางกรุงโตเกียว ผู้คนส่วนมากมักจะนิยมขึ้นรถโมโนเรลที่เรียกว่า “ยูริคะโมะเมะ”
โดยรถไฟจะแล่นข้ามผ่านสะพาน Rainbow Bridge มา

ขอเพิ่มเติมอีกนิดนึงครับ รถไฟโมโนเรล “ยูริคะโมะเมะ” จะไม่มีพนักงานขับรถแต่จะควบคุม
การเดินรถด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ผมจึงแปลกใจนิดหน่อยเพราะตอนที่กำลังนั่งอยู่บนรถไฟ
พอมองไปที่หัวขบวนของทั้งสองข้างแล้วไม่พบใครนั่งอยู่

Shopping Center ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากคือ Decks Tokyo Beach และ Aqua City Odaiba
ชั้นที่ 4 ของ Decks ที่เรียกว่า Daiba 1-chome Retro Shopping Mall พื้นที่จำลองบรรยากาศขนาดย่อม
ของเมืองในยุค 1960 – 70 ได้อย่างลงตัว สามารถซื้อหาขนมและของเล่นของยุคสมัยนั้นได้ที่นี่ครับ
และที่ Aqua City ยังเป็นศูนย์รวมร้านราเมน 6 ร้านดังจากทั่วทุกภูมิภาคของญี่ปุ่น
จะเลือกแวะร้านไหนดี ก็คงจะต้องเลือกกันอย่างลังเลใจหน่อยครับ

ยิ่งไปกว่านั้นที่ Palette Town Shopping Mall ยังมี Outlet mall (Venus Outlet)
และ Showroom (MEGAWEB) ของบริษัทโตโยต้าที่สามารถสนุกสนานเพลิดเพลินกับของเล่นภายใน
ได้เหมือนกับได้มาสวนสนุก อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมเทคโนโลยีล้ำยุค ทันสมัยให้ได้ดูกัน
และยังมีการจัดแสดงรถยนต์ของโตโยต้าอีกด้วย

นอกจากนี้ที่ PANASONIC CENTER ยังมีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ของทางบริษัท และหากต้องการเรียนรู้
ในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมในเชิงวิทยาศาสตร์ก็สามารถไปที่ National Museum of Emerging
Science and Innovation ได้อีกด้วย

โอไดบะจึงเป็นสถานที่ที่สามารถสนุกสนานเพลิดเพลินได้เต็มวัน กับการเรียนรู้ เที่ยวชม และจับจ่ายซื้อของ

 

Waseda Study Trip in Japan 2011 ตอนที่ 2 : Harajuku

สวัสดีครับ

โรงเรียนสอนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ ได้จัดโครงการ Study Trip in Japan
ขึ้นที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 20 มีนาคม – 4 เมษายน 2554
โดยครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4แล้ว
http://www.waseda.ac.th/-3-

 

Blog ที่เขียนขึ้นในครั้งนี้เป็นการแนะนำสถานที่ต่างๆที่มีกำหนดเที่ยวชมไว้ในโครงการครั้งนี้
สถานที่ที่ผมจะขอแนะนำในครั้งนี้ คือ ฮาราจุกุ ครับ

ฮาราจุกุนั้นอยู่ห่างจากสถานีชินจุกุเพียงสองสถานี  เป็นย่านที่มีชื่อเสียงมากในด้านแฟชั่น
ของประเทศญี่ปุ่น  เมื่อเดินออกมาจากหน้าสถานีรถไฟก็จะพบกับย่านร้านค้า
ที่เรียกว่า ถนน Takeshitaผู้คนที่เดินผ่านไปมาในย่านนี้นั้นแต่งกายกันหลากหลายสไตล์
ลำพังแค่เดินดูโดยไม่ซื้อหาอะไร ก็เพลิดเพลินเหมือนได้มาดู Fashion Show กันเลยทีเดียว

 

สมัยก่อนนั้นในย่านนี้จะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่มาจากยุโรปและอเมริกา
แต่ในปัจจุบันมีชาวเอเชีย เช่น ไทยและจีน มาเที่ยวกันเพิ่มขึ้น
หากต้องการหาซื้อของฝากสไตล์ญี่ปุ่นในราคาสบายกระเป๋า ที่ถนน Takeshita
มีร้าน 100 เยน (Daiso) มีสินค้าจำหน่ายจำนวนมากให้เลือกซื้อกันได้อย่างจุใจ

ถัดมาอีกนิด ใกล้กับถนน Takeshita ก็จะพบห้าง La Foret Harajuku ที่ภายในได้รวบรวมร้านค้า
แฟชั่นไว้จำนวนมาก
http://www.laforet.ne.jp/

ที่นี่จะมีร้านที่จำหน่ายเสื้อผ้าแนว Gothic & Lolita หลากหลาย Brand ให้ได้เลือกซื้อกัน
อาทิเช่น ANGELICPRETTY, BABY, ALICE AND THE PIRATES, METAMORPHOSE,
Innocent World
, PUTUMAYO, BLACK PEACE NOW

ที่ฮาราจุกุนั้น มีร้านขายเสื้อผ้าที่เปิดร้านได้ใหญ่ตระการตา อย่าง GAP และ United Arrows
นอกจากนี้จากถนนสายใหญ่เข้าสู่ซอยเล็กๆ ก็จะได้พบกับพื้นที่ที่เรียกว่า  Ura – Harajuku
ที่แห่งนี้ เต็มไปด้วยร้านค้า จำนวนมาก และเป็นที่ที่ดีสำหรับผู้ที่เรียนทางด้านแฟชั่นและด้าน
ออกแบบเลยทีเดียว  แต่สำหรับผมแล้วชอบแวะตามร้านหนังสือและร้านกาแฟเล็กๆครับ
สำหรับฮาราจุกุแล้วภายใน 1 วันคงไม่สามารถแวะเที่ยวกันได้ทั้งหมดครับ

 

มีนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการกับเราในครั้งที่ผ่านมา บอกกับเราว่า ได้ใช้เวลาหลังเลิกเรียน
ไปฮาราจุกุมาแล้วหลายครั้ง เนื่องจาก จากมหาวิทยาลัยวาเซดะใช้เวลาเดินทางเพียง 30 นาที

สุดท้ายนี้ พูดถึงอาหารในย่านฮาราจุกุ ก็คงจะเป็น Crape อย่างแน่นอน

ถ้าไปถึงแล้วก็ต้องลองพิสูจน์รสชาติความอร่อยในแบบญี่ปุ่นแท้ๆกันดูนะครับ
ที่นี่เขามีหลายร้านให้เลือกทานกันครับ

 

Waseda Study Trip in Japan 2011 ตอนที่ 1 : ศูนย์ป้องกันภัยพิบัติอิเคะบุคุโระ

สวัสดีครับ

โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ จะจัดโครงการ Study Trip in Japan ขึ้น
ที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ ประเทศญี่ปุ่น ในระหว่างวันที่ 20 มีนาคม – 4 เมษายน 2554 โดยครั้งนี้
จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 แล้ว

จากนี้ไปผมจะขอแนะนำสถานที่ต่างๆที่มีกำหนดเยี่ยมเยือนในโครงการครั้งนี้นะครับ

สถานที่แรกที่ผมขอแนะนำให้รู้จักนั้น คือ ศูนย์ป้องกันภัยพิบัติอิเคะบุคุโระ
ศูนย์นี้ตั้งอยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟอิเคะบุคุโระ ซึ่งจัดการและดูแลโดยสำนักงานดับเพลิง
กรุงโตเกียว  ก่อตั้งขึ้นโดยวัตถุประสงค์ เพื่อให้ประชาชนรู้ถึงความน่ากลัวของภัยพิบัติ
และการเตรียมตัวเพื่อรับมือ

สามารถมาพิสูจน์เหตุการณ์จำลองทั้งสี่ ได้แก่ เหตุการณ์แผ่นดินไหว การดับไฟ
การปฐมพยาบาล และการเผชิญกับควันไฟ ได้ที่นี่

ผมได้ยินมาว่าส่วนที่ได้รับความนิยมมากคือส่วนของการจำลองเหตุการณ์แผ่นดินไหวใน
ระดับ 7  การสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวนั้นมีอยู่ 10 ระดับ  ระดับ7 เป็นการสั่นสะเทือน
ที่แรงมากที่สุดครับ กล่าวคือมนุษย์จะไม่สามารถยืนอยู่ได้อย่างแน่นอน
และอาคารก็จะถล่มลงด้วยแรงสั่นสะเทือน

รูปนี้คือสัญลักษณ์ของสำนักงานดับเพลิง กรุงโตเกียว มีชื่อเรียกว่า 「Kyota kun」

อาจได้พบกันที่ศูนย์นะครับ

 

ภูเขาฟูจิ 8-04-2010

วันที่ 8 เมษายน ในที่สุดก็ใกล้ถึงวันจบหลักสูตรแล้วนะครับ หลังจากที่ได้ค้างคืนที่บ่อน้ำพุร้อน 1 คืน พวกเราก็ไปภูเขาฟูจิกันครับ เนื่องจากวันก่อนมีหิมะตกลงมาทำให้ถนนปิด ขึ้นไปชั้นความสูงที่ 5 ของภูเขาไม่ได้ แต่ก็ได้จับหิมะ ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก และเที่ยวเล่นได้ครับ

 

ฟูจิคิวไฮแลนด์ 7-04-2010

มาต่อกันที่เรื่องหลักสูตรภาษาญี่ปุ่น 3 สัปดาห์กันนะครับ เมื่อวันที่ 7 เมษายน เหล่าบรรดานักเรียนได้เดินทางไป “ฟูจิคิวไฮแลนด์ (FujiQ Highland)” ด้วยรถบัส ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงจากกรุงเกียว ติดตามรายละเอียดได้ที่ http://www.fujiq.jp/

ที่นี่ตั้งอยู่ติดกับภูเขาฟูจิ เป็นสวนสนุกที่มีชื่อเสียงเนื่องจากมีรถไฟเหาะที่น่ากลัวที่สุดในญี่ปุ่นอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “FUJIYAMA” ติดตามรายละเอียดได้ที่ http://www.fujiq.jp/

“Dodonpa” (ドドンパ) ติดตามรายละเอียดได้ที่

http://www.fujiq.jp/english/attraction/dodonpa.html

“Eejanaika” (ええじゃないか) ติดตามรายละเอียดได้ที่

http://www.fujiq.jp/english/attraction/eejanaika.html

ซึ่งเครื่องเล่นทั้ง 3 อย่างนี้ เป็นเครื่องเล่นน่าหวาดเสียวจนแทบจะอยากอุทานด้วยความโกรธว่า “ใครเป็นคนคิดไอ้เครื่องเล่นแบบนี้ฟะ” เลยล่ะครับ

เนื่องจากผมเองเป็นคนที่ไม่ถนัดเล่นของแบบนี้ ก็เลยคิดว่าจะหาทางเลี่ยงว่า “ผมจะรอข้างล่าง ไว้ถ่ายรูปให้เอาไหม” แต่นักเรียนก็คะยั้นคะยอบังคับให้ผมนั่งจนได้ครับ (ฮือๆ) คนที่ใส่สวนสนุกนี้ลงไปในโปรแกรมหลักสูตรภาษาญี่ปุ่น 3 สัปดาห์ คือชมพู่ซัง เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะครับ

ความรู้สึกตอนนั่ง FUJIYAMA กับ Dodonpa (ส่วน Eejanaika เพราะฝนตกจึงงดให้บริการครับ) คือ “คิดว่าจะตายจริงๆ” เลยครับ ส่วนอย่างอื่น ที่เหมือนดูแล้วจะไม่มีอะไร เลยขึ้นไปนั่งอย่างวางใจ แต่ปรากฏว่าที่จริงแล้วน่ากลัวก็คือเครื่องเล่นที่มีชื่อว่า Tondemina (トンデミーナ) คนที่ชื่นชอบเครื่องเล่นประเภทนี้ ต้องมาลองเล่นให้ได้นะครับ ส่วนผมไม่ไปเล่นเป็นครั้งที่ 2 แล้วล่ะครับ

 

เดินเล่นในโตเกียว 3 (ยานากะ) 3-04-2010

หลังจากไปฮาราจูกุ คราวนี้พวกเราก็นั่งรถไฟ JR สายยามาโนะเทะ ไปลงที่สถานีนิปโปริใกล้กับอุเอะโนะ แล้วเดินจากสถานีไปยังถนนสายช้อปปิ้งที่ชื่อยานากะกินซะ (谷中銀座) ที่นี่มีการเก็บรักษารูปแบบถนนหนทางแบบดั้งเดิมเมื่อหลายสิบปีก่อนเอาไว้ ถ้าเปรียบเทียบกับเมืองไทย ก็ประมาณอัมพวาล่ะครับ

วันนี้มีไกด์รายวันมาช่วยนำทางให้ ชื่อคุณจิ๊ป เป็นนักเรียนเก่าที่จบจากโรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ ปัจจุบันกำลังทำวิจัยอยู่ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว และที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่คุณจิ๊ปแนะนำมาครับ

อันที่จริงแล้วคุณจิ๊ป อาศัยอยู่ใกล้ๆ กับบริเวณยานากะกินซะมาได้ 2 ปีแล้ว เนื่องจากทีมวิจัยของคุณจิ๊ปศึกษาเรื่องข้อดีของสิ่งก่อสร้างแบบดั้งเดิม ว่าสามารถดำรงอยู่ในสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างปัจจุบันได้อย่างไร สามารถอยู่อาศัยไปพร้อมกับศึกษาเรียนรู้ได้ ถือว่าเป็นสภาพแวดล้อมที่ยอดเยี่ยมไปเลยนะครับ

การเปลี่ยนแปลงในยุคนี้เป็นไปอย่างเข้มข้น รุนแรงมาก จนมีแนวโน้มว่าต้องติดตามสิ่งใหม่ๆ ให้ทันให้ได้นะครับ อย่างไรก็ดี เนื่องจากที่เป็นยุคสมัยที่มีลักษณะดังกล่าว ทำให้มีคนให้ความสนใจกับของเก่าที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้เวลาจะผ่านล่วงเลยไป อาจเป็นเพราะเข้าใจถึงความสำคัญของมันที่จะสืบสานไปยังคนรุ่นหลัง ดังนั้น จึงเป็นสาเหตุให้สถานที่อย่างยานากะกินซะและอัมพวา ที่อยู่ทั้งในญี่ปุ่น หรือในไทยกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากคนหนุ่มสาวกระมังครับ

พอดูจากภาพถ่ายแล้ว “ราวกับเวลาหยุดนิ่ง” ในใจกลางกรุงโตเกียว แค่ได้รู้สึกว่ามีถนนที่สามารถพักผ่อนหย่อนใจได้ก็ดีใจแล้วล่ะครับ

แล้วนักเรียนล่ะ มีความประทับใจอะไรกันบ้าง?

… ไก่ย่าง โคโร๊กเกะ ยากิโซบะที่ขายในถนนสายช้อปปิ้งอร่อยงั้นเหรอ?

ผมเอง นอกจากถ่ายภาพแล้ว ส่วนใหญ่ก็เดินหาของอร่อย ซึ่งก็เป็นความสนุกอีกประการหนึ่งของยานากะกินซะครับ ส่วนของแนะนำ คือ “คะรินโท” ขนมแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ปกติแล้วคะรินโทจะทอดในน้ำมัน แต่เฉพาะของที่นี่เท่านั้นที่สามารถรับประทาน “คะรินโทย่าง” แสนอร่อยได้ครับ http://www.hanakomichi.net/

สมแล้วล่ะครับที่ญี่ปุ่นมีสุภาษิตว่า “花より団子” (はなよりだんご) ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่าลูกชิ้นดีกว่าดอกไม้ หรือกินได้ดีกว่าสวยอย่างเดียวครับ

 

เดินเล่นในโตเกียว (ศาลเจ้าเมจิ) 3-04-2010

วันที่ 3 เมษายน วันเสาร์ในกรุงโตเกียวแจ่มใสมากครับ อีกทั้งอากาศก็อบอุ่นสบายเหมาะกับการชมดอกซากุระ ซึ่งทริปในวันนี้คือการเดินเที่ยวชมเมืองโตเกียวตามอัธยาศัยครับ แรกสุดเรามุ่งหน้าไปที่ “ศาลเจ้าเมจิ” สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของกรุงโตเกียวครับ

ที่นี่มีการจัดพิธีแต่งงานมากมาย และมีทั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ มีคนที่มากับครอบครัว
เสียงดังครึกครื้นมากเลยล่ะครับ


 

นำเสนอผลงาน Role Play 2-04-2010

Khun Shu@Tokyo ครับ เมื่อวันศุกร์ที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ในระหว่างที่เข้าร่วมหลักสูตรภาษาญี่ปุ่นระยะสั้นที่ญี่ปุ่น นักเรียนไทยและนักศึกษามหาวิทยาลัยวาเซดะชาวญี่ปุ่นได้ร่วมกันนำเสนอผลงาน “Role Play” ครับ โดยได้มีการแบ่งกลุ่มนักเรียนไทยและนักศึกษาชาวญี่ปุ่นออกเป็น 5 ทีม ให้คิดหัวข้อ บทพูด และบทบาทการแสดงเองแล้วออกมานำเสนอครับ

โดยหัวข้อก็จะเป็นเรื่องที่ทั้งคนไทยและคนญี่ปุ่นรู้จักกันเป็นอย่างดี หลากหลายครับ เช่นนิทานปรัมปรา (นกกระเรียนแทนคุณ, หนูน้อยหมวกแดง) และเรื่องการ์ตูนอนิเมชั่น (โดเรมอน, โคนัน) เป็นต้น มีทั้งการดัดแปลงเนื้อเรื่องหรือยังคงเนื้อหาเดิมเอาไว้ ด้วยบทบาทการแสดงที่เข้มข้น ดุเดือด และบทพูดที่น่าสนใจจึงทำให้ห้องเรียนเต็มไปด้วยการระเบิดเสียงหัวเราะตลอดเวลาเลยล่ะครับ

 

ถ้าวันที่มีนัดเดทถูกสั่งให้ทำงานล่วงเวลา

องค์กรที่มีชื่อว่าศูนย์เพิ่มผลผลิตแห่งญี่ปุ่น (日本生産性本部- Japan Productivity Center) ได้จัดการสำรวจในคำถามที่ว่า “ถ้าวันที่มีนัดเดทถูกสั่งให้ทำงานล่วงเวลา จะให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากัน” ต่อพนักงานใหม่เป็นประจำทุกปี

พอพูดถึงคนญี่ปุ่น จะมีภาพลักษณ์ที่ฝังลึกว่าเป็น “มดงาน”, “เสพย์ติดการทำงาน” แม้แต่ในสายตาของคนไทยใช่ไหมล่ะครับ ในการตอบคำถาม ในครึ่งแรกของทศวรรษ 1980 พนักงานจะให้ความสำคัญกับงานร้อยละ 80 และให้ความสำคัญกับการเดทร้อยละ 20 ในขณะที่ ในครึ่งหลังของทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นคนหนุ่มสาวที่ให้ความสำคัญกับการเดท เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างในปี ค.ศ. 1991 พนักงานให้ความสำคัญกับงานต่อการเดทใกล้เคียงกันคิดเป็นสัดส่วน 60 ต่อ 40 อย่างไรก็ดี พอเข้าสู่ช่วงปีค.ศ. 2000 ในหลายปีมานี้อัตราส่วนมีการเปลี่ยนแปลงกลับไปเป็นอย่างเดิมในสมัยก่อนที่พนักงานให้ความสำคัญต่องานมากที่สุดถึงร้อยละ 80 อีกครั้งครับ

ที่เป็นเช่นนี้มีความหมายอย่างไรกันน่ะหรือครับ? ทั้งๆที่คนหนุ่มสาวในสมัยนี้มีแนวโน้มว่าจะให้ความสำคัญต่อการใช้ชีวิตส่วนตัวกับครอบครัว และคนรักมากกว่าการทำงานมาก แต่ว่ากันว่าเหตุผลอย่างหนึ่งคือการถูกห้อมล้อมด้วยสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นน่ะครับ ส่วนคนที่เลือก “การเดท” กล่าวคือให้ความสำคัญกับชีวิตส่วนตัวมากกว่างาน ที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลังของทศวรรษ 1980 นั้น เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจของญี่ปุ่นดีมาก หรือเป็นยุคที่เรียกว่า “เศรษฐกิจฟองสบู่” นั่นเองครับ

นอกจากนี้ในสมัยนั้นญี่ปุ่นยังมีลักษณะเด่น 2 ประการที่เรียกว่า “การบริหารจัดการแบบญี่ปุ่น” คือเมื่อได้เข้าทำงาน จนอายุมากขึ้น ทั้งตำแหน่งหน้าที่การงานและเงินเดือนก็เพิ่มสูงขึ้น ตามระบบอาวุโส (年功序列- seniority system) อีกทั้งยังมีระบบการทำงานจนถึงอายุ 60 ปี หรือจนเกษียณอายุการทำงานที่เรียกว่า “การจ้างงานตลอดชีพ” (終身雇用- life-time employment) พอคิดถึงจากจุดนี้ ช่างเป็นยุคสมัยที่สบายๆ ดีจังเลยนะครับ

อย่างไรก็ดี เมื่อเกิดภาวะฟองสบู่แตกในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ญี่ปุ่นก็เข้าสู่ยุคแห่งการเจริญเติบโตต่ำ อีกทั้งต่อมาในทศวรรษ 2000 ญี่ปุ่นยังต้องแข่งขันกับหลายประเทศที่เริ่มมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เช่นประเทศจีน และยังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลก ส่งผลให้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล จนทำให้ปัญหาความยากลำบากในการได้ทำงานที่คุ้มค่ากับความเหน็ดเหนื่อย และได้รับค่าตอบแทนที่เพียงพอต่อการดำรงชีพของคนหนุ่มสาว ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก

แม้ว่าความเป็นส่วนตัวจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ด้วยความไม่มั่นใจ กังวลว่าการให้ความสำคัญกับตนเองมากเกินไป อาจทำให้ต้องตกงาน คงจะเป็นสาเหตุทำให้ “การให้ความสำคัญกับการทำงานล่วงเวลา” เพิ่มมากขึ้นก็ได้นะครับ

ถ้ามีการทำแบบสำรวจนี้ในเมืองไทยบ้าง จะเป็นยังไงกันนะ

 

ค่ำคืนแห่งอาหารไทย 31-03-2010

วันพุธที่ 31 มีนาคม หลังจากที่จบชั่วโมงภาษาญี่ปุ่น นักเรียนจากโรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ และนักศึกษามหาวิทยาลัยวาเซดะได้ไปรับประทานอาหารไทยที่ร้าน “ไทยเทวา” กันครับ โดยก่อนหน้านี้ได้เคยแนะนำไปแล้วว่าเจ้าของร้านนี้คือบอลคุง ซึ่งหลังจากที่เรียนจบจากโรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะแล้ว เขาได้ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยวาเซดะครับ ร้านนี้ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีโอยามะ สถานีที่ 3จากอิเคะบุคุโระ ด้วยสายรถไฟโทบุโทโจครับ

ทั้งนี้ ร้านที่ไปเป็นร้านสำหรับลูกค้า 20 ท่านเท่านั้น แต่วันนี้มีลูกค้าถึง 30 คน ทำให้เสียงดังวุ่นวายมากครับ และเนื่องจากที่ร้านมีเพียงบอลคุง และพี่เพ็ญซึ่งเป็นแม่ครัว ผม(khun Shu)และนักเรียนเลยต้องช่วยทำเครื่องดื่มและเสิร์ฟอาหารครับ ส่วนอาหาร ด้วยรสชาติไทยแท้ๆ จึงแน่นอนว่าอร่อยมากครับ ทั้งท่าเต้น “ไก่ย่าง” ของน้อง หมิว และคำศัพท์ “สุดยอด” (ハンパなーい เป็นคำชมที่มีความหมายว่าเจ๋งมากๆ) จากหลักสูตรภาษาวัยรุ่นญี่ปุ่นของไดโซคุง (ชื่อเล่นว่า ดีคุง) นักศึกษามหาวิทยาลัยวาเซดะ ต่างก็ “สุดยอด” เต็มที่จริงๆ เลยล่ะครับ ขอขอบคุณ คุณบอลและคุณเพ็ญมากเลยนะครับ

 

รักสตาร์บั๊คที่ซู้ด (31-03-2010)

สวัสดีครับ Khun Shu@Tokyo ครับ ผมมาโตเกียวกับคณะนักเรียนที่จะมาศึกษาภาษาญี่ปุ่นที่มหาวิทยาลัยวาเซดะได้เกือบ 10 วันแล้วครับ ในชั้นเรียนเมื่อวานได้เล่นเกมที่ใช้ภาษาญี่ปุ่นด้วย (แต่ผมไม่ได้อยู่ในห้องเรียนนะครับ) เกมนี้เป็นเกมใบ้คำ โดยจะให้พูดคำใบ้ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษที่เกี่ยวกับคนๆ หนึ่งเพียง 1 เรื่อง แล้วให้ทายว่าเป็นใคร เช่นถ้าใบ้ว่า “คนที่ไม่ว่าไปไหนก็ไม่เคยอยู่”, “คนที่กำลังโดดงาน” ทุกคนก็จะตอบได้ทันทีว่า
“คุณชู”
ถึงอยากจะตอบว่า “ถูกต้อง!!”

แต่ที่จริงแล้วผมไม่ได้โดดงานหรอกนะครับ (โกรธแล้วนะ) ผมต้องจัดเตรียมสำหรับโปรแกรมต่อไป และประชุม เตรียมความพร้อมในเรื่องต่างๆ ที่สำนักงานฝ่ายต่างประเทศ ชั้น 4 ในตึกที่ทุกคนเรียนอยู่นั่นแหละครับ เฮ้อ ยุ๊งยุ่งครับ

นอกจากนี้ ผมยังหอบงานมาจากเมืองไทยด้วย ก็เลยต้องคอยหาที่เปิดคอมพิวเตอร์และกางเอกสาร ส่วนที่ที่ถูกใจมากที่สุด แน่นอนว่าคือสตาร์บั๊คครับ คนญี่ปุ่นจะเรียกกันสั้นๆ ว่า “ซึตาบะ” (スタバ)


ในโตเกียว ไม่ว่าจะเป็นออฟฟิศ ห้างสรรพสินค้า หรือข้างๆ สถานีใหญ่ๆ ก็จะมีสตาร์บั๊คอยู่แน่นอน ทั้งที่ เป็นปลายเดือนมีนาคมแล้ว แต่อากาศหนาวเย็นอย่างกับฤดูหนาวยังคงดำเนินต่อไป พอเข้าไปในร้านแล้วได้จิบ Tall Latteร้อนๆ ก็รู้สึกว่าใจเย็น สงบขึ้นครับ คงมีบางคนที่พอได้ยินเสียงน่าหนวกหูรอบๆ ตัวแล้วไม่สามารถรวบรวมสมาธิได้ แต่ผมเป็นประเภทตรงข้ามที่ถ้ารอบๆ ตัวเงียบเกินไปแล้วจะฟุ้งซ่านน่ะครับ ทั้งๆที่ คนเยอะและส่งเสียงเอะอะ แต่ผมก็ทำงานต่อไปได้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีใครรู้จักผมได้ดีกว่าครับ

เดี๋ยวนี้ที่เมืองไทยเองก็มีสตาร์บั๊คเยอะนะครับ นอกจากนั้นก็ยังมีกาแฟสดให้ลิ้มรสมากมายอย่างเช่นดอยตุงและแบล็คแคนยอนเป็นต้น ดีใจจังเลยล่ะครับ ตอนที่ผมมาศึกษาแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อ 15 ปีก่อน ในกรุงเทพฯ ก็มีสตาร์บั๊คนะครับ แต่ในตัวเมืองยังไม่ค่อยมีร้านกาแฟบดซักเท่าไหร่ พออยากจะดื่มกาแฟเลยต้องไปดื่มที่เลาจ์ของโรงแรมชั้นสูง ทำให้มีโอกาสได้ไปเฉพาะเวลาที่มีนัดกับแขกที่มาจากญี่ปุ่นเท่านั้น

ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพ หรือโตเกียว สถานที่พักผ่อนหย่อนใจต่างก็เป็นของหายากนะครับ แต่ถ้าบอกว่าแค่ได้อ่านนวนิยายที่ถูกใจก็เหมือนได้ท่องโลกตามลำพังแล้วล่ะก็ คงจะถูกกลุ่มนักเรียนโกรธเอาได้ว่า “ก็ไม่ทำงานจริงๆ ไม่ใช่เหรอ!!”

 

ตึกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น 30-04-2010

พอพูดถึงตึกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น คนไทยหลายๆ คนก็คงจะรู้จัก “โตเกียวทาวเวอร์” ในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง โดยโตเกียวทาวเวอร์มีความสูง 333 เมตร สูงกว่าหอไอเฟล (สูง 324 เมตร) ในฝรั่งเศสเสียอีก รวมทั้งจากตัวอักษรยังเป็น “สัญลักษณ์ของโตเกียว” อีกด้วย โตเกียวทาวเวอร์ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ.1958 จนถึงปัจจุบันนี้ก็สร้างมาได้ 42 ปีแล้ว โดยถูกใช้ในการส่งสัญญาณคลื่นโทรทัศน์เป็นหลัก

แต่มาถึงตอนนี้ วันที่ 29 มีนาคม เวลา 10.27 น. โตเกียวทาวเวอร์ได้ถูกทำลายสถิติลงแล้วโดยตึกที่ชื่อ โตเกียวสกายทรี (東京スカイツリー) ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างในเขตซึมิตะคุ (墨田区) ณ กรุงโตเกียวเช่นเดียวกัน


รูปถ่ายนี้เป็นรูปที่ถ่ายโดยนักเรียน
ขณะโดยสารรถบัสเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ที่ผ่านมาครับ

โตเกียวสกายทรีจะถูกใช้ในการส่งสัญญาณโทรทัศน์แบบดิจิตอล ก่อสร้างขึ้นเนื่องจากมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างหอส่งสัญญาณที่มีความสูงมากขึ้นอย่างมากในการส่งสัญญาณโดยมีโตเกียวเป็นจุดศูนย์กลาง และครอบคลุมถึงภูมิภาคคันโต

เนื่องจากโตเกียวสกายทรี มีวิธีการก่อสร้างส่วนที่อยู่บนพื้นดินด้วยการใช้ปั้นจั่นขนาดมหึมาในการยกส่วนต่างๆ เข้าประกอบกัน จึงทำให้สามารถมองเห็นพัฒนาการความสูงที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทุกๆวันได้ด้วยตาเปล่า และเริ่มมีนักท่องเที่ยวในความสนใจเป็นจำนวนมากครับ อีก 2 ปีข้างหน้าเมื่อตึกสร้างเสร็จตามกำหนดการจะมีความสูงถึง 634 เมตร ทำลายสถิติหอส่งสัญญาณ “กวางโจวเวสต์ทาวเวอร์” ในนครกวางเจา ประเทศจีน (ความสูง 610 เมตร) และกลายเป็นหอส่งสัญญาณที่สูงที่สุดในโลก

บริษัทผู้ก่อสร้างคือ บริษัท โอบายาชิ จำกัด (大林組) หรือรู้จักกันในนามนิติบุคคลในไทยคือบริษัท นันทวัน จำกัด ที่โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะเองก็มีพนักงานจากบริษัทนี้เข้ามาศึกษาก่อนที่จะไปฝึกงานที่ญี่ปุ่นด้วยนะครับ ในอนาคตกรุณาสร้างตึกสูงระฟ้าอย่างสกายทรีที่เมืองไทยให้ได้นะครับ

แต่จะว่าไป ครั้งหนึ่งในสมัยที่ผมอยู่ในวัยหนุ่มและยังอยู่บ้านนอก ตอนที่ผมต้องเข้ามาเรียนต่อมหาวิทยาลัยและหางานทำในกรุงโตเกียว ตอนนั้นความกล้าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ผมมาโตเกียวด้วยความกังวลมากมาย เช่น จะอยู่คนเดียวท่ามกลางความสัมพันธ์ที่เย็นชาของคนในเมืองใหญ่ได้ดีแค่ไหน จะหาเพื่อนหาแฟนได้ไหม แต่ผมก็ได้ผ่านประสบการณ์มากมายและเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เมื่อมองโตเกียวทาวเวอร์ก็ทำให้หวนคิดถึง วันเวลาในช่วงที่อายุประมาณ 20 ปี ที่ไม่ว่ามีความยากลำบาก หรือไม่เรื่องไม่พอใจอย่างไรก็ต้องแบกรับไว้คนเดียว ไม่เคยพึ่งพาใคร ต้องเดินก้มหน้าเพียงลำพังท่ามกลางฝูงชนที่แออัดยัดเยียด

การที่คนหนุ่มสาวมาโตเกียวด้วยความหวังและความกังวล ไม่ว่าตอนนี้ หรือจากนี้ไปก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่จากนี้โตเกียวสกายทรีคงจะต้องก้าวเข้ามาทำหน้าที่แบกรับความทรงจำต่างๆ นานาของผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในโตเกียวด้วยกระมังครับ

 

สัมผัสประสบการณ์ชงชาและสวมชุดยูกาตะ (วันที่ 29 มีนาคม 2010)

ช่วงบ่ายของวันจันทร์ที่ 29 มีนาคม ด้วยความร่วมมือของชมรมชงชามหาวิทยาลัยวาเซดะ ได้มีการจัดงานสัมผัสประสบการณ์ชงชาและสวมชุดยูกาตะ โดยใช้ห้องชงชาในพื้นที่คณะศิลปศาสตร์ครับ ทั้งๆ ที่เป็นช่วงก่อนเปิดเทอม ซึ่งทุกคนกำลังยุ่ง แต่ก็มีนักศึกษามหาวิทยาลัยวาเซดะให้ความร่วมมือช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก

ได้ยินเสียงบอกความรู้สึกอย่างจริงใจว่า ขนมในหัวข้อดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิอร่อยกว่าชามัจจะ(抹茶)มากเลย (หัวเราะ) หลังจากพิธีชงชาก็มีการถ่ายภาพที่ระลึกอย่างคึกคัก แถมยังมีนักเรียนหนุ่มหุ่นเท่ห์ในชุดญี่ปุ่นด้วยนะครับ

 

ดอกซากุระใกล้จะบานเต็มที่แล้ว

สวัสดีครับ  วันนี้วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม เข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 แล้วที่นักเรียนมาที่ญี่ปุ่น แต่อากาศหนาวเย็นติดต่อกันหลายวัน จนแทบไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าจะเป็นปลายเดือนมีนาคม

แต่ถึงกระนั้นดอกซากุระก็เริ่มบานทีละนิดแล้ว คงใกล้จะบานเต็มที่แล้วล่ะครับ

ส่วนนักเรียนก็ดูท่าทางสดใสแข็งแรงกันดี วันนี้ผมจึงส่งรูปถ่ายของ “ลูกสาวทั้ง 4 คน” ที่ถ่าย ณ หน้าหอประชุมโอคุมะ สัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยวาเซดะมาให้ชมกันครับ

 

ไปทานเนื้อย่างบุฟเฟ่กันครับ (วันที่ 28 มีนาคม 2010)

ผมได้ไปทานเนื้อย่างบุฟเฟ่กับนักเรียนซึ่งเพิ่งจะกลับมาจากการพักกับโฮมสเตย์ที่ร้านเนื้อย่างบุฟเฟ่ในชินจูกุมาครับ ที่ร้านนี้ให้รับประทานได้ไม่อั้นในเวลา 90 นาที สนนราคาท่านละ 1,980 เยน โดยแต่ละโต๊ะจะมีเตาถ่านที่ทำจากดินเหนียวสำหรับย่างเนื้อแบบดั้งเดิม เรียกว่า ชิจิริน (七輪) ติดอยู่ด้วย ซึ่งต่างคนต่างก็เล่าประสบการณ์การไปพักโฮมสเตย์ของตนเอง เป็นช่วงเวลาที่เสียงดังครึกครื้นมากเลยล่ะครับ

ขณะเดียวกันเนื้อก็หมดอย่างรวดเร็วเทียบจะสั่งไม่ทันกันเลยล่ะครับ ส่วนโต๊ะของผมกับคุณชมพู่เจ้าหน้าที่คนไทยนั้นสั่งเพิ่มแต่ผักครับ (หัวเราะ) นอกจากนั้นก็ยังได้ลิ้มรสผักกาดแก้ว กิมจิ และสาหร่ายวาคาเมะด้วยครับ สงสัยคงจะกินเนื้อย่างอย่างอิ่มหนำและสนุกสนานเหมือนเด็กๆไม่ได้แล้ว เลยกลายเป็น “โต๊ะคุณลุงคุณป้า” ไปแล้วล่ะครับ (ฮือๆ)

เมื่ออิ่มและออกจากร้าน ก็พบว่าข้างนอกหนาวเย็นเหมือนค่ำคืนในฤดูหนาว มีทั้งคนที่กลับโรงแรมโดยแท็กซี่ ขณะที่ผมและคนร่างกายแข็งแรงที่เห็นว่า “เดินไปถึงโรงแรมดีกว่าอาหารจะได้ย่อย” อีก 6 คนเดินกลับโรงแรมด้วยกัน ผ่านดงตึกระฟ้าใช้เวลาประมาณ 30 นาทีครับ

ตั้งแต่มาญี่ปุ่นประมาณ 1 สัปดาห์ ยังไม่มีคนเจ็บป่วยเลย อีก 2 สัปดาห์ต่อจากนี้ มาใส่ใจสุขภาพเพื่อให้วันเวลาผ่านไปอย่างสนุกสนานกันเถอะครับ

 

โฮมสเตย์ผ่านไปแล้วครับ (วันที่ 28 มีนาคม 2010)


ครอบครัวชาวญี่ปุ่นของน้องหมิว

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันที่นักเรียนจะกลับมาจากการไปพักโฮมสเตย์ ซึ่งผมจะไปรับน้องหมิว ณ ที่พักโฮมสเตย์ที่เมืองยาชิโอะ จังหวัดไซตามะครับ น้องหมิวเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่เก่งภาษาญี่ปุ่นมากๆ ครับ ได้ยินว่าโฮสต์แฟมิลี่ของน้องหมิวมีความสนใจในประเทศไทย ก็เลยสอบถามเรื่องต่างๆ มากมาย และได้ยินว่าสนุกมากเลยล่ะครับ เพราะโฮสต์แฟมิลี่พาไปเที่ยวโตเกียวทาวเวอร์และอะซะคุซะ และได้ทำคารุตะกับเด็กๆ ที่บ้านด้วย

นอกจากนี้ ยังได้ยินว่าคุณต๊อกที่มาจากศรีราชา ทำอาหารไทยให้โฮสต์แฟมิลี่รับประทานถึง 2 ครั้งด้วยครับ โดยปกติแล้วนักเรียนจะต้องกลับจากที่พักโฮมสเตย์โดยรถไฟด้วยตนเอง แต่ในกรณีของน้องแนน ลูกสาวของโฮสต์แฟมิลี่ตามมาส่งถึงโรงแรม โดยมีเหตุผลว่า “เพราะสนิทกันมาก เลยอยากจะอยู่ด้วยกันให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้” ดูเหมือนทุกคนต่างก็มีความทรงจำที่ลึกซึ้งในช่วงระยะเวลา 4 วันนี้นะครับ

 

28 March : พาสต้าเวทย์มนต์

หลังจากเรียนภาษาญี่ปุ่นครึ่งวัน ก็ได้เวลาพักสมองด้วยอาหารกลางวัน แต่ช่วงนี้โตเกียวฝนตกตลอด อากาศก็หนาวมากมายไม่ถึงสิบองศา  แต่ว่าอากาศหนาวได้กินสปาเก็ตตี้อุ่น ๆ ก็สุดยอดไปเลยค่ะ ใกล้ ๆ มหาวิทยาลัยมีร้านสปาเก็ตตี้แสนอร่อยชื่อร้าน “ลูกศิษย์แม่มด” ร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ที่ตั้งมาหลายสิบปีแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นร้านแห่งความทรงจำของนักศึกษาวาเซดะหลาย ๆ คนแน่นอน ในวันที่เราไปกินที่ร้านนี้เป็นวันพิธีจบการศึกษาของมหาวิทยาลัยวาเซดะ จึงมีบรรดาบัณฑิตวาเซดะ แวะเวียนกันเข้ามาถ่ายรูปกับเจ้าของร้านและสปาเก็ตตี้จานโตด้วย  นึกว่าเราอยู่สามย่านหรือท่าพระจันทร์เสียอีก

ที่ร้านนี้มีทั้งสปาเก็ตตี้แบบญี่ปุ่นและแบบอิตาเลียน เพิ่งรู้ว่ามีสปาเก็ตตี้แบบญี่ปุ่นด้วย (คิดถึงสปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาบ้านเราจริงจริ๊งงง) แบบนี้ต้องลองค่ะ สปาเก็ตตี้แบบญี่ปุ่นจะใส่พวก ทาราโกะ อุนิ หอยอาซาริ รสอ่อน ๆ นุ่มนวลตามสไตล์อาหารญี่ปุ่น แต่ที่น่ากินที่สุดกลับเป็นสปาเก็ตตี้ซอเซจแบบอิตาเลียนของพี่หนึ่งและน้องกิ๊ก จานโต หอมหวลจนต้องขอชิม อร่อยจริง สุดท้าย มองไปทางไหนก็มีแต่คนกินไม่หมด อร่อยนะ แต่เยอะมาก จานละ 800-1,000เยน อิ่มไปนานเลย

 
 

23-Mar After Class…go to eat Donuts!

ในที่สุดวันแห่งการเรียนที่ยาวนานก็สิ้นสุดลงเสียทีนะครับ พวกเราเริ่มเดินทางด้วยรถไฟ JR ที่ชวนหัวหมุน ขึ้นสายยามาเตะ จากสถานีทาคาโนะบาบะมุ่งหน้าไปยังชินจูกุ ที่หมายของเราคือร้าน “Krispy Kreme Donuts”ร้านโดนัทที่ได้รับความนิยมอย่างมากใกล้กับสถานี เนื่องจากน้องกิ๊ฟท์นักเรียนในกลุ่มบอกว่า “อยากไป” ร้านโดนัทที่ญี่ปุ่น ซึ่งได้ยินเสียงร่ำลือว่าโดนัทอร่อยมาก ทุกคนก็เลยพากันมาที่นี่ครับ http://krispykreme.jp/index.html

ถ้าเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ที่ร้านนี้อาจต้องเข้าแถวรอคิวนานถึง 30 นาที -1 ชั่วโมง แต่วันนี้เป็นวันอังคาร จึงรอแค่ ประมาณ 5 นาทีก็ซื้อโดนัทได้ แต่ถึงกระนั้นคนขายก็ยังบอกว่า “ขอโทษครับที่ให้รอ” พร้อมกับแจกโดนัทฟรีให้พวกเราด้วยล่ะครับ โดนัทของนี่ที่ทั้งหวานทั้งนุ่ม อร่อยมากครับ ส่วนตัวผมจะชอบรสชาติแบบเรียบๆ ดั้งเดิม แต่พวกนักเรียนชอบแบบโดนัทแบบที่มีเลเยอร์ชีสครับ

พอกินโดนัทกันแล้ว ต่อไปก็เป็นอาหารเย็น วันนี้พวกเราจะไปลองข้าวราดแกงกะหรี่กันครับ ร้านแกงกะหรี่แห่งนี้ตั้งอยู่ในช้อปปิ้งอาเขตชั้นใต้ดินประตูฝั่งตะวันตกของสถานีรถไฟชินจูกุ

ขั้นแรกจะต้องเลือกเมนูที่หน้าร้าน แล้วซื้อตั๋ว พอมีที่ว่างจึงเข้าไปนั่ง แล้วยื่นตั๋วให้พนักงานครับ ที่นี่มีหลากหลายเมนูให้เลือกหลากหลายกว่า 20 เมนู เช่นนอกเหนือจากแกงกะหรี่หมู แกงกะหรี่ไก่ แกงกะหรี่หมูทอด แกงกะหรี่ไก่ทอด และแกงกะหรี่เนื้อแล้ว ยังมีแกงกะหรี่ชีส แกงกะหรี่ไส้กรอกเป็นต้น ซึ่งในรูปนี้เป็นรูปแกงกะหรี่หมูพิเศษที่ผมสั่งครับ จะว่าไปแล้วการได้กินอาหารอร่อยๆ เป็นวัตถุประสงค์หลักอย่างหนึ่งของนักเรียนที่มาอบรมที่ญี่ปุ่นเลยนะครับ

ทุกๆ ปีผมจะได้ยินข่าวร้ายจากนักเรียนที่มาอบรมที่ญี่ปุ่น หลังจากกลับไปถึงเมืองไทยประเภทที่ว่า “อ้วนขึ้นตั้ง 3 กิโลแหน่ะ” อยู่เสมอ ดังนั้น ทุกคนครับ ระวังตัวด้วย แต่ก็นะ มันอร่อยจริงๆ เลยล่ะครับ

 

23 March : Japanese Class and Lunch at Cafeteria

ชั่วโมงเรียนภาษาญี่ปุ่นเริ่มขึ้นแล้วครับ ภายใต้การดำเนินการสอนโดยอาจารย์อายะโกะ ไซโต้ และอาจารย์อายะ ชิโนดะ ทั้งนี้คณะนักเรียนได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับอาจารย์ที่ “โอคุมะการ์เด้นเฮาส์-大隈ガーデンハウス” โรงอาหารของมหาวิทยาลัย โดยโรงอาหารนี้ใช้ระบบการสั่งอาหารที่ตนเองต้องการรับประทานที่เคาน์เตอร์ และชำระเงินที่จุดลงทะเบียนบริเวณประตูทางออก เมนูอาหารก็มีหลากหลายไม่ว่าจะเป็นราเมง คัตสึด้ง สปาเก็ตตี้ และข้าวราดแกงกะหรี่เป็นต้น ส่วนราคาก็ถูกกว่าร้านอาหารนอกมหาวิทยาลัยประมาณร้อยละ 20-30 หรือรายการละประมาณ 400-500 เยนครับ ส่วนรสชาติเมื่อถามจากนักเรียนแล้ว ได้รับคำตอบว่า “ก็งั้นๆ ค่ะ/ครับ”

 

22-March : วันแรกของการเริ่มหลักสูตรภาษาญี่ปุ่นระยะสั้น

และแล้ววันนี้ซึ่งเป็นวันแรกของการเริ่มหลักสูตรภาษาญี่ปุ่นระยะสั้นก็มาถึง ช่วงเช้าเมื่อไปถึงมหาวิทยาลัยวาเซดะ ลำดับแรกมีการจัดพิธีเปิดหลักสูตร โดยคุณนางาซึกะ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายต่างประเทศ มหาวิทยาลัยวาเซดะได้กล่าวต้อนรับมีใจความว่า “เมื่อพูดถึง 3 สัปดาห์ ฟังดูเหมือนจะยาวนานแต่ที่จริงแล้วเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ขอให้ทุกคนเก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ทางภาษาหรือวัฒนธรรมญี่ปุ่น และสร้างความทรงจำอันน่าสนุกสนาน” จากนั้นนักเรียนผู้ร่วมหลักสูตรก็แนะนำตัวด้วยภาษาญี่ปุ่นเป็นรายบุคคล

ลำดับต่อมาคุณอิโต้ ผู้อำนวยการสำนักงานแผนกรับสมัครนักศึกษาต่างชาตินำคณะนักเรียนเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยวาเซดะ

ส่วนช่วงบ่ายนักศึกษาอาสาสมัครจากมหาวิทยาลัยวาเซดะ นำพวกเราเยี่ยมชมมหาวิทยาลัย โดยนักศึกษาอาสาสมัครเหล่านี้มาจากการรับสมัครใจความว่า “เนื่องด้วยนักเรียนจากโรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะประเทศไทยจะมามหาวิทยาลัยวาเซดะ จึงขอเชิญชวนให้มาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมร่วมกัน” ซึ่งมีนักศึกษาผู้สนใจตอบรับและเข้าร่วมการแลกเปลี่ยนรวม 14 คน ในจำนวนนี้มีหนุ่มเท่ห์ๆ และสาวๆ น่ารักๆ หลายคนเลยล่ะครับ อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเคยมาประเทศไทยและชอบคนไทยมาก จึงรวมตัวกันเข้ามาด้วยความคิดที่อยากจะใช้โอกาสนี้ เรียนรู้ภาษาไทย และวัฒนธรรมให้มากขึ้น รวมถึงอยากมีเพื่อนคนไทยอีกด้วยครับ

ทั้งนี้ พวกเราแบ่งกลุ่มกันเป็นกลุ่มเล็กๆ กลุ่มละ 5-6 คน คละกันทั้งนักเรียนไทยและนักศึกษาอาสาสมัคร เพื่อให้นักศึกษาอาสาสมัครนำเที่ยวชมมหาวิทยาลัย โดยจุดที่พาไปเยี่ยมชมมีทั้งจุดที่มีชื่อเสียงเช่น หอประชุมโอคุมะ  รูปปั้นชิเงโนบุ โอคุมะ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย รวมถึงพิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ และอาคารที่นักศึกษาชาวญี่ปุ่นใช้เรียนหนังสืออีกด้วย

ตอนนี้ดอกซากุระในมหาวิทยาลัยเริ่มบานแล้ว ส่วนเจ้าเหมียวก็นอนอาบแดดอย่างสบายอารมณ์ครับ

 

22 March : Daily life Orientation

เนื่องจากวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการหยุดติดต่อ 3 วันในญี่ปุ่น จึงทำให้เกิดปรากกฎการณ์รถติดบนทางด่วน แต่ในที่สุดเมื่อเวลา 4 โมงเย็น (วันที่ 22 เม.ย.) พวกเราก็ถึงโรงแรมที่ชินจุกุ หลังจากที่เช็คอินเสร็จแล้ว ก็แยกย้ายกันไปเข้าห้องพัก เพื่ออาบน้ำและพักผ่อน

พอตอนค่ำพวกเราก็มารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่ง และมีการปฐมนิเทศเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวัน หลังจากที่อธิบายวิธีการใช้เครื่องซักผ้าในโรงแรมและวิธีการซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใกล้เคียงเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางจากโรงแรมไปยังชินจุกุด้วยรถชัตเทิลบัส ทั้งนี้ทุกๆ คนก็ซื้อบัตรโดยสาร Suica ซึ่งสามารถใช้กับพาหนะขององค์กรคมนาคมร่วมกันได้แทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ JR รถไฟใต้ดิน และรถบัสภายใต้การบริหารจัดการของกรุงโตเกียวเป็นต้นครับ

 

คณะหลักสูตรภาษาญี่ปุ่นระยะสั้นถึงญี่ปุ่นแล้วจ้า !

สวัสดีครับ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม คณะผู้เข้าร่วมหลักสูตรภาษาญี่ปุ่นระยะสั้น ณ มหาวิทยาลัยวาเซดะ ได้เดินทางถึงประเทศญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว โดยมีกำหนดการที่จะอยู่ในประเทศญี่ปุ่นจนถึงวันที่ 9 เมษายน รวมเป็นเวลา 3 สัปดาห์  ผมขอใช้รูปถ่ายในการนำเสนอการเรียน กิจกรรมนักศึกษาแลกเปลี่ยน และการท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นนะครับ

โดยช่วงเช้าของวันที่ 22 มีนาคม กลุ่มที่เดินทางถึงสนามบินนาริตะ ได้เดินไปเยี่ยมชม “นาริตะซังชินโชวจิ-成田山新勝寺” วัดของศาสนาพุทธที่มีชื่อเสียงและตั้งอยู่ใกล้กับสนามบินเป็นแห่งแรก เพื่อขอพรให้ตลอดระยะเวลา 3 สัปดาห์หลังจากนี้ที่อยู่ในญี่ปุ่น ทุกคนจะแคล้วคลาดปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง พอคิดได้ดังนั้น เลยรีบไปซื้อ “ช็อคโกบานาน่า” ทันทีเลยล่ะครับ

หลังจากเยี่ยมชมวัด “นาริตะซังชินโชวจิ-成田山新勝寺” พวกเราก็เดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมกล้างแจ้งเอโดะ-โตเกียว (江戸東京たてもの園) ในเขตโคงะเน โดยสถานที่แห่งนี้ก่อสร้าง และได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณชนเมื่อ 50-200 ปีก่อน ในฐานะสิ่งก่อสร้างที่เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า

พวกเรารับประทานอาหารกลางวันในร้านขายอุด้ง (ทำด้วยมือจึงอร่อยมาก) ที่อยู่ภายในอาคารสมัยโบราณ พออิ่มแล้วก็คิดว่าถ้าออกไปข้างนอกก็จะเจอร้านแผงลอยอีก … ไม่ว่าจะเป็นไอศกรีม ทาโกะยาคิ และอื่นๆ ซึ่งทุกคนก็ยังคงรับประทานกันได้เรื่อยๆ สุดยอดเลยนะครับ

แน่นอนครับว่าเราได้ทั้งเที่ยวชมสิ่งก่อสร้างอันสวยงาม และได้ชมดอกบ๊วยและดอกท้ออันงดงามตระการตาที่เบ่งบานเรียงรายกันอยู่ภายในสวนอีกด้วยครับ รายละเอียดนอกเหนือจากนี้สามารถติดตามได้จาก http://tatemonoen.jp/