RSS

Category Archives: student Talk

Student Talk กานต์ กาญจนามัย

กานต์ กาญจนามัย ครับ  จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยศิลปากร
แล้วมาเรียนต่อที่สถาบันบุนกะแฟชั่น (Bunka Fashion Academy)
หลังจากนั้นมาศึกษาต่อด้านภาษาที่โรงเรียนวาเซดะครับ



ทราบมาว่าเป็นนักเรียนทุนของ bunka
ด้วย เคยไปประกวดได้รับรางวัลมาเยอะเลยใช่มั้ยคะ
ลองเล่าคร่าวๆ ให้ฟังสักนิด

งานแรกที่เคยประกวดจะเป็นของเครือสหกรุ๊ป Young Desiner Award แต่ผลงานที่ชนะคือ
Wacoal Show Bra Show Case ปี 2010 เป็นการออกแบบชุดชั้นในครับ สำหรับล่าสุดที่ประกวด
คือ Spy U Fashion Contest เกี่ยวกับแฟชั่นร่วมกับสยามเซนเตอร์  ได้รางวัลรองชนะเลิศ
กับรางวัล Inspiring Award ครับ

เหตุผลที่เลือกเรียนภาษาญี่ปุ่นที่วาเซะดะคืออะไรคะ

ทางสถาบันบุนกะส่งมาเรียนครับ อีกอย่างคือได้ยินมานานแล้วว่าเรียนที่วาเซดะ
สามารถเรียนรู้ทุกทักษะได้และนำไปใช้ได้จริง สามารถเริ่มเรียนได้ตั้งแต่ตอนที่ไม่มีพื้นฐานเลย
วาเซดะทำให้รู้สึกการเรียนภาษาญี่ปุ่นสนุกมาก 

วิธีการสอนของอาจารย์ที่วาเซดะมีอิทธิต่อการเรียนอย่างไรบ้าง

อย่างแรกเลยคือเซนเซเป็นคนญี่ปุ่นทั้งหมด โดยอาจารย์จะพยายามให้นักเรียนทุกคน
ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด ซึ่งเป็นการฝึกความเคยชินให้เรามากกว่าการพูดภาษาญี่ปุ่น
สลับกับภาษาไทย ได้ทั้งฝึการพูดฝึกสำเนียง และคุ้นเคยกับสำเนียงของคนญี่ปุ่นจริงๆ

อีกอย่างที่ชอบเป็นการส่วนตัวคือการส่งการบ้าน ทำให้นักเรียนฝึกการ
ตรงต่อเวลา เช่นถ้าส่งตรงเวลาก็ได้คะแนนเต็มถ้าส่งช้าก็ลดลงตามช่วงเวลา
แล้วเซนเซก็พยายามให้เรากล้าพูดกล้าแสดงออกมากขึ้นมันทำให้ชินกับภาษาง่าย
กว่าการให้ท่องจำและการจดบันทึกเพียงอย่างเดียว

สิ่งที่ยากสำหรับการเรียนภาษาญี่ปุ่นคืออะไร

สิ่งที่ยากคือทุกอย่างเลยตั้งแต่ฟังพูดอ่านเขียนเพราะไม่เคยมีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นเลย
แต่พอมาเรียนที่นี่แล้ว จากคนที่พูดไม่เป็นเลยก็สามารถสนทนากับคนญี่ปุ่นได้

ความประทับใจในโรงเรียนวาเซดะ

ทุกอย่างเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ เซนเซ เพื่อนร่วมชั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนๆ
ประทับใจมากๆ เช่น บรรยากาศการเรียนภายในห้องจะอยู่ในลักษณะช่วยเหลือกันและกัน
ไม่มีแก่งแย่งแบ่งพรรคพวกกัน ที่สำคัญอีกอย่างคือ แม้จะเป็นหลักสูตรเร่งรัด
แต่เซนเซก็ไม่ได้สอนรวดเร็วจนเกินไป ทำให้ไม่รู้สึกกดดัน

 

 
Leave a comment

Posted by on 01/11/2012 in student Talk, Waseda News

 

สัมภาษณ์นักเรียนทุนมงบุโช สาขาภาพยนตร์และประวัติศาสตร์ อารยา เป็นสุข หรือ พริก นักเรียนหลักสูตร Day Class 1 วาเซดะ ศรีราชา

สวัสดีชาววาเซดะทุกคนค่ะ   ฉันชื่อ อารยา  เป็นสุข  หรือ  พริก

จบการศึกษาระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนสาธิต”พิบูลบำเพ็ญ”มหาวิทยาลัยบูรพาค่ะ
จากนั้นก็สอบเอ็นทรานซ์ ติดที่คณะศิลปศาสตร์ เอกประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ถือว่าเป็นรุ่นสุดท้ายที่ต้องเอ็นทรานซ์ก่อนที่จะเปลี่ยนระบบใหม่นะคะ
จบออกมาด้วยเกียรตินิยมอันดับ1 ค่ะ อันนี้ต้องขอคุยนิดนึงนะคะเพราะเป็นเรื่องดี ^_^

ทราบมาว่าน้องพริกได้รับทุนมงบุโช
อยากทราบรายละเอียดเกี่ยวกับทุนที่ได้รับค่ะ

เป็นทุนมงบุโชประเภท Research Student ค่ะ เปิดรับสมัครช่วงพฤษภาคมของทุกปี
ทุนนี้ให้นักเรียนที่จบมหาลัยสมัครเพื่อเรียนต่อปริญญาโท และ ปริญญาเอก
เงื่อนไขรายละเอียดก็ดีมากเลยค่ะ เช่นคนที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นแบบพริกก็สามารถสมัครได้
เพียงแต่ต้องมีเกรดเฉลี่ยตามที่เขากำหนดเท่านั้นและสอบเป็นภาษาอังกฤษเอา

ส่วนคนที่มีพื้นภาษาญี่ปุนอยู่เเล้ว  และมีเกรดเฉลี่ยค่อนข้างดี ก็ยิ่งมีโอกาสใหญ่
ผู้ที่ได้ทุนนี้ทุกคนพอไปถึงญี่ปุ่นแล้วต้องไปเรียนภาษาญี่ปุ่นก่อน ระยะเวลา6เดือน
จากนั้นก็เป็นนักศึกษาวิจัยอีก6เดือน  ต่อไปเราก็ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เราเลือก
ให้ได้เพื่อเรียนปริญญาโทน่ะคะ สรุปคือการได้ทุนนี้ยังไม่การันตีว่าเราจะได้เรียน
ปริญญาโทเลยนะคะ ต้องพยายามกันอีกยาวทั้งเรื่องภาษา และแสดงให้ทางเจ้า
ของทุนเห็นว่าเราเป็นนักศึกษาวิจัยที่มี Potential พอค่ะ 

ส่วนสาขาที่พริกเลือกไว้คือ Japanese Contemporary Culture and History
โดยเน้นด้านภาพยนตร์และประวัติศาสตร์ ไม่ได้เรียนเป็นผู้สร้างภาพยนตร์นะคะ
แต่เรียนเป็นผู้ดู ผู้วิเคราะห์ ผู้ถอดความสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในศิลปะเเขนงนี้ค่ะ
พริกเป็นคนชอบเรียนประวัติศาสตร์มานานแล้วค่ะ
ยิ่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของญี่ปุนนี่ยิ่งสนุกเลย

ทำไมจึงตัดสินใจมาเรียนภาษาญี่ปุ่นที่วาเซดะศรีราชา

ที่เลือกเรียนที่นี่เพราะรู้จักมหาวิทยาลัยวาเซดะค่ะ วาเซดะเป็นมหาวิทยาลัยที่ดังมากที่ญี่ปุ่น
ยังคิดอยากเข้าเรียนที่นั่นเลยเพียงแต่ไม่มีอาจารย์ที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญด้านที่เราจะเรียนน่ะคะ
ที่นี้พอรู้ว่าที่ศรีราชามีสาขาเปิดก็เลยมาเรียนที่นี่เพราะใกล้บ้าน อยู่กรุงเทพมันเปลือง
เพราะเราออกจากงานมาได้สักพักเเล้วหลังจากรู้ว่าได้ทุน

เพื่อนร่วมห้องเดย์คลาส 1 เป็นอย่างไรบ้าง
ช่วยเล่าบรรยากาศในห้องเรียนนิ
ดนึงค่ะ

คิดไม่ผิดเลยที่เลือกที่นี่  คือตัวเองก็ไม่รู้ว่าที่อื่นยังไงนะคะเพราะไม่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นเลย
แต่ที่นี่สอนดีมาก คงไม่มีใครที่เรียนจบคอร์สนี้ไปโดยอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แน่ๆ
เพราะอาจารย์ละเอียดมากๆ  ขนาดเขียนตัวอักษรฮิราคานะองศายังต้องเป๊ะๆเลย
ตัวเองโดนประจำ55 ในฐานะที่ใหม่กับภาษานี้มากมายก็ต้องขอบอกเลยว่าเป็นภาษา
ที่ท้าทายความสามารถมากค่ะ ได้ข่าวไซโคมาตลอดว่ายากนะ เตรียมตัวดีๆ
แต่เรากลับรู้สึกว่าเหมือนเจออะไรที่ใช่! 555อาจจะฟังดูเว่อร์ๆแต่จริงๆนะคะ
ภาษานี้สนุกกว่าอังกฤษอีก

ในฐานะที่เพิ่งเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น (แบบจริงจัง)  คิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง

เพื่อนๆที่เรียนด้วยกันน่ารักทุกคน  เกือบทุกคนมีพื้นฐานมาแล้วบ้าง
อีกทั้งยังมีเซนเซที่บ้านช่วยด้วย โชคดีกันมาก แต่เราต้องพยายามหนักกว่าเพื่อนๆเท่าตัว
จะได้ไม่ถ่วงคนอื่นน่ะค่ะ เเต่ก็นะทุกคนในหัองซึ่งมีอยู่7 คนเท่านั้นเลยเหมือนเรียนแบบ
Private ทุกคนสนิทกันเร็วแล้วก็คอยช่วยเหลือกันตลอดเลยค่ะ

ปีหน้าจะต้องเดินทางไปเรียนที่ญี่ปุ่นแล้ว
และจะต้องไปใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นเป็นระยะเวลานานๆ มีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

เตรียมตัวเฉพาะเรื่องเรียนภาษาญี่ปุ่นเพื่อเอาตัวรอดให้ได้ก่อน เรื่องอื่นๆเดี๋ยวทาง
สถานฑูตคงจะจัดการให้ตอนมกราคมปีหน้านะคะ เพราะต้องรอเอกสารตอบกลับ
จากทางรัฐบาลที่ญี่ปุ่นก่อน ตอนนี้ที่กังวลก็คือเรื่องภาษานี่แหล่ะค่ะ ส่วนการจากบ้าน
ไปนานๆคงต้องเหงาเป็นธรรมดาแต่ต้องอดทนค่ะเพื่ออนาคต ทุนมงบุโชเป็นทุนใหญ่มาก
ออกค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่าง แถมไม่ต้องกลับมาใช้ทุนอีกด้วย ถือเป็นประสบการณ์ครั้งใหญ่
ในชีวิตของคนๆนึงเลยก็ว่าได้  มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นขนาดนี้ต้องเหงาอยู่ต่างประเทศบ้างก็ยอมค่ะ

อาจารย์ที่วาเซดะ ศรีราชา เป็นอย่างไรบ้างคะ

อาจารย์ทุกท่านน่ารักมาก   สอนดีแล้วก็ใจเย็นมาก  เมื่อเห็นอะไรผิดก็จะแก้ไขให้ทันที
ทำให้เราเข้าใจเเจ่มแจ้งก่อนเสมอก่อนที่เราจะผ่านไปบทอื่น ทบทวนบทเรียนทุกครั้ง
บอกตามตรงว่าตอนเเรกเครียดมากๆเพราะไม่รู้ภาษาเลย ยังงงอยู่ว่าจะสอนกันยังไงหนอ^^
แต่ตอนนี้เริ่มคิดเริ่มพูดภาษาญี่ปุ่นเป็นต่อยหอยเเล้ว
เห็นอะไรก็นึกขึ้นเป็นญี่ปุ่นตลอด ตลกดีนะคะ 

 

สัมภาษณ์นักศึกษาฝึกงาน : แจน กับ กล้วย

หลังจากที่ได้สัมภาษณ์น้องๆฝึกงาน จากทางฝั่งศรีราชากันไปแล้ว
วันนี้ขอนำเสนอน้องๆฝึกงานจากทางฝั่งพระนครบ้างนะคะ

ขอแนะนำน้องๆสองสาว นักศึกษาฝึกงานจากสถาบันเดียวกันค่ะ

อโณทัย  วาฤทธิ์ (แจน)
และ นฤมล  พลช่วย (กล้วย)

ทำอย่างไรจึงมาฝึกงานที่วาเซดะได้คะ

แจน :  แจนรู้จักวาเซดะมานานแล้วค่ะ เคยมารอเพื่อนเคยเมื่อสมัย ม.5 ค่ะ
5 – 6ปีผ่านมาแล้ว ช่วงกำลังหาที่ฝึกงานก็ได้คุยกับน้ำและฝ้ายที่เคยร่วมทำงาน
กับวาเซดะมาก่อน แล้วสนใจอยากมาฝึกที่นี่ ก็เลยขอตามมาฝึกด้วยคนค่ะ


กล้วย
  : รู้จักวาเซดะเมื่อ 2 ปีก่อน มีรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยแนะนำให้มาช่วยงาน
กิจกรรมที่ศูนย์สิริกิตต์  จากนั้นพอมีงานอะไรก็มาช่วยงานวาเซดะเรื่อยๆ
รวมทั้งกิจกรรม Japanese Fun Course  เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาด้วยค่ะ
และพอถึงช่วงปิดเทอมมีนา ก็ได้มีโอกาสมาฝึกงานกับทางวาเซดะอีกครั้งค่ะ

การทำงานในแต่ละวันที่วาเซดะทำอะไรบ้าง

แจน : ช่วงเดือนแรกจะเป็นส่วนของกิจกรรม Japanese Fun Course แต่ละวัน
เวลาโดยส่วนใหญ่ก็จะเตรียมอุปกรณ์ต่างๆที่จะใช้สำหรับกิจกรรมในส่วนวัฒนธรรม
เพราะว่าที่กรุงเทพฯเราคิดกิจกรรมแบบอลังการงานสร้างมาก ทำให้เราต้องเตรียม
งานกันเยอะมากด้วยเช่นกันค่ะ แต่ก็จะมีช่วยงานทำงานในส่วนของการบริการ
นักเรียนและอาจารย์บ้าง ช่วยพี่ๆรับโทรศัพท์ให้ข้อมูลต่างๆบ้างค่ะ

กล้วย  :   ในช่วงแรกๆมีกิจกรรม Japanese Fun Course ค่ะ ก็เลยเน้นการทำงาน
ตรงนั้นเป็นส่วนใหญ่  ทั้งคิดกิจกรรมการเรียนรู้ เล่นเกมส์กับน้องๆ แล้วก็สรุปผลงานค่ะ
จากนั้นก็ทำหน้าที่ประสานงานทั่วไป  มีแนะนำคอร์สการเรียน ช่วยงานพี่ๆ
บางครั้งก็ช่วยงานอาจารย์ญี่ปุ่น ค่ะ

ความประทับใจจากกิจกรรม Japanese Fun Course

แจน : ประทับใจมากถึงมากที่สุดค่ะ น้องๆน่ารักและเชื่อฟังกันดี ทำให้ดูแลได้ไม่ยาก
แต่ก็มีบางครั้งที่จะซนบ้างดื้อบ้างตามประสาเด็กค่ะ ในส่วนของกิจกรรมและการเรียน
น้องๆก็ให้ความร่วมมือดีมาก แถมหลายๆคนยังสามารถคิดอะไรต่อยอดไปได้มากกว่า
ที่เราคาดหวังเอาไว้ แบบว่าน้องจินตนาการบรรเจิดมากๆ แจนเลยมีความสุขสนุกสนาน
ทุกวันเลยค่ะ

กล้วย  :  ได้รู้จักน้องๆ ได้ร่วมกิจกรรมสนุกๆด้วยกันค่ะ และที่สำคัญกล้วยจะโดนน้องๆ
แกล้งตลอดเลย กิจกรรมนี้ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาแค่สิบวัน แต่ก็รู้สึกผูกพันกับน้องๆทุกค
จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีการติดต่อกันเรื่อยๆค่ะ ทั้งทางโทรศัพท์ facebook และ msn 

บรรยากาศการทำงานที่วาเซดะ

แจน : พี่ๆเป็นกันเองมากๆค่ะ ทำให้ทำงานด้วยง่ายไม่เครียดมาก เซนเซและนักเรียน
ที่นี่ก็เป็นกันเองค่ะบางคนก็จะมีเข้ามาคุยเล่นกันบ้างระหว่างช่วงพัก ทำให้ไม่น่าเบื่อค่ะ
แต่ในบางช่วงที่งานยุ่งๆทุกคนจะตั้งใจทำงานกันมากๆ ถึงขนาดที่ว่าเลยเวลาเลิกงานไป
แล้วก็ยังนั่งทำงานกันจนกว่าจะเสร็จเลยค่ะ

กล้วย  :  บรรยากาศการทำงานดีค่ะ  พอถึงเวลาทำงานทุกคนก็จะตั้งใจทำงาน
นอกจากนี้ก็ยังได้เห็นการทำงานของอาจารย์ญี่ปุ่นด้วยค่ะ แต่ละท่านตั้งใจทำงานมาก
ถึงแม้จะเป็นวันหยุด แต่ก็มาทำงานกัน สุดยอดจริงๆ

มาฝึกงานที่นี่ให้ประสบการณ์ชีวิตอะไรกับน้องๆบ้าง

แจน : ก็ได้รับประสบการณ์อะไรหลายๆอย่างนะคะ เช่น ความอดทนอดกลั้น
การทำงานร่วมกับผู้อื่นที่มีตำแหน่งสูงกว่า ได้เรียนรู้ระบบการทำงานในองค์กร
และเครื่องใช้ในสำนักงาน แจนคิดว่าต่อไปจะได้นำประสบการณ์ต่างๆที่ได้รับ
จากการฝึกงานไปใช้ในอนาคตค่ะ

กล้วย  :   ที่นี่ให้ประสบการณ์หลายด้านค่ะ อันแรกคือ ได้เรียนรู้นิสัยของผู้คนมากขึ้น
และรู้ว่าจะต้องปรับตัวยังไงเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้ สองคือ ด้านการทำงานค่ะ
การฝึกงานก็เหมือนการทำงานจริงๆ ซึ่งเราก็ต้องตั้งใจและทุ่มเทเหมือนเป็นหนึ่ง
ในองค์กรนั้นไม่ใช่แค่ทำให้ผ่านๆไปค่ะ และสุดท้ายคือ ด้านการแก้ปัญหาค่ะ
ไม่ว่าจะงานอะไรก็ตามมันสามารถ เกิดปัญหาได้เสมอ ซึ่งเราก็ต้องหาทางแก้
โดยไม่ให้เกิดผลกระทบต่อองค์กร  ในส่วนนี้ก็ได้เรียนรู้จากพี่ๆ
ซึ่งก็ได้แนวคิดใหม่ๆเข้ามาค่ะ

 
ในอนาคตอยากทำงานแบบไหน

แจน :  อยากทำงานที่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นค่ะ ถ้ามีโอกาสได้ไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นก็จะดีใจมากๆเลยค่ะ  Get go To Japan!
กล้วย  :  อยากทำหลายอย่างมากเลย อันแรกถ้าเป็นไปได้ อยากทำงานเป็นล่ามค่ะ แต่ก็คงต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกหลายปี เพราะมีรุ่นพี่บอกว่ายากมากๆ
ดังนั้นก็เลยคิดว่า คงทำงานในบริษัทญี่ปุ่นทั่วไปก่อนค่ะอาจจะเป็นตำแหน่ง admin ก็ได้

ฝากอะไรทิ้งท้ายก่อนจบกิจกรรมการฝึกงานค่ะ

แจน : อยากจะขอบคุณพี่ๆทุกคนเลยค่ะ ที่ช่วยดูแล คอยให้คำชี้แนะในเรื่องต่างๆ ตลอด 2เดือน แจนได้รับประสบการณ์ที่ไม่เคยได้เรียนรู้ในห้องเรียนจากที่นี่มากมาย ได้เรียนเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเพิ่มขึ้น และมีเพื่อนใหม่ๆด้วยค่ะ

กล้วย  :   ก็ขอบคุณพี่ๆมากๆค่ะที่ดูแลแนะนำและให้ความช่วยเหลือในด้านการทำงาน  ถ้าไม่มีการฝึกงานก็คงจะไม่รู้ว่า การทำงานจริงๆนั้นเป็นอย่างไรและประสบการณการฝึกงานที่ได้รับจากวาเซดะในครั้งนี้ กล้วยก็จะนำไปประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์กับการทำงานในอนาคตค่ะ  สุดท้ายก็ต้องขอขอบคุณพี่ๆและอาจารย์ญี่ปุ่นที่ได้ให้ความช่วยเหลือและประสบการณ์อันมีค่านี้ค่ะ

 

เส้นทางการสอบวัดระดับ 2 ของ ภูษิต ตุ๋งคง (ดำ)

 

เรายังคงตามติดชีวิตของนักเรียนวาเซดะอย่างต่อเนื่อง  หากยังจำกันได้
เราเคยสัมภาษณ์คุณดำมาแล้วครั้งหนึ่ง  ตอนนั้นคุณดำกำลังเตรียมตัวสอบวัดระดับ 2
โดยยอมลงทุนลงแรง ลาออกจากงานประจำแล้วเข้ากรุงเพื่อมาเรียนที่วาเซดะ กรุงเทพฯ
เป็นระยะเวลา 1 ปีเต็มๆ

ความพยายามตลอด 1 ปีเต็ม กับการสอบวัดระดับ 2 ยังไม่สัมฤทธิ์ผล
เพราะคุณดำยังพลาดหวังจากการสอบวัดระดับเมื่อครั้งที่ผ่านมา
เรียกได้ว่า อกหักดังเป๊าะ (ดราม่าเล็กน้อย)

แต่จะดราม่าขนาดไหน เศร้าเสียใจขนาดไหน ก็ยังไม่ยอมแพ้
เพราะวันออกพรรษาไม่ได้มีหนเดียว วันวาเลนไทน์ไม่ได้มีหนเดียว
เฉกเช่นเดียวกับ การสอบวัดระดับก็ไม่ได้มีแค่หนเดียว

ดังนั้นแล้ว หลังจากพลาดท่าเสียที กับข้อสอบวัดระดับ 2 ที่ผ่านมา

คุณดำกลับมาตั้งหลักใหม่ กลับมาหางานทำที่บ้านเกิด
และแน่นอน  ภูษิต ตุ๋งคง  เขากลับมากู้ชีพของตัวเองอีกครั้ง
กับการเตรียมตัวสอบวัดระดับ 2 … ที่วาเซดะ ศรีราชา … อีกครั้ง

ตอนนี้ทำงานอะไรอยู่คะ

ก่อนอื่นก็ต้องขอสวัสดีพี่ๆ น้องๆ และเพื่อนๆ ทุกท่านก่อนนะครับ
หลังจากผมเรียนจบที่วาเซดะ กรุงเทพฯ  เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ปี 53
จากนั้นก็เริ่มออกหางานหาการทำตั้งแต่เดือนมกราคม 54 ครับ
ไปสัมภาษณ์อยู่ประมาณ 4 – 5 แห่งครับ ท้ายที่สุดก็มาสมัครกับ
บริษัทบางกอกอีสเทิร์นคอยล์เซ็นเตอร์ จำกัด ในนิคมอุตสาหกรรม
อีสเทิร์นซีบอร์ด ( ระยอง ) สัมภาษณ์รอบแรกกับผู้จัดการฝ่ายโรงงาน
และคุณภาพกับผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล สัมภาษณ์รอบสอง
กับท่านประธานโรงงาน

ตื่นเต้นมากครับสำหรับการสัมภาษณ์งาน แต่คงเป็นเพราะทางวาเซดะ
มีหลักสูตรการสอนที่ดีมากครับ สามารถฟังและตอบคำถามได้อย่างเข้าใจ
หมดทุกคำถาม และได้เริ่มงานกับบริษัทบางกอกอีสเทิร์นคอยล์เซ็นเตอร์ จำกัด
ในตำแหน่ง Customer Service & Quality Control & Interpreter
( Quality Control Department ) ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
เป็นต้นมาครับ

งานที่ทำอยู่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นอย่างเต็มทีหรือเปล่าคะ

เนื่องจากต้องออกไปพบปะหรือร่วมประชุมหารือกับลูกค้าในเรื่องเกี่ยวกับคุณภาพของงาน
ซึ่งในบางครั้งก็ไปกับเจ้านายญี่ปุ่นด้วยก็จะทำหน้าที่ในการแปลในที่ประชุม
( แปลไทยเป็นญี่ปุ่น และแปลญี่ปุ่นเป็นไทย ) หรือบางครั้งถ้าเจ้านายไปได้ไปด้วยก็จะต้อง
นำผลการประชุมมาจัดทำรายงานการประชุมเพื่อเสนอต่อเจ้านายญี่ปุ่น  การใช้ภาษาญี่ปุ่น
ในการทำงานก็มีโอกาสได้ใช้ครับแต่ก็ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะที่บริษัทฯ
มีพนักงานที่พูดภาษาญี่ปุ่นได้ ( ล่าม ) จำนวน 2 คน เมื่อนับผมไปได้ด้วยก็เท่ากับ 3 คน
ก็เลยไม่ได้ใช้เต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์สักเท่าไหร่ครับ

ขออนุญาตถามถึงสถิติในการสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นของคุณดำ
ในระดับ 2 หรือ
N2  ไม่ทราบว่า ผ่านสมรภูมิการสอบมาแล้วกี่ครั้ง
(ถามให้ปวดใจทำไมเนี่ย …)

อายจังครับสำหรับคำถามนี้  อิอิ  ผมเคยเข้าสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น ระดับ 2 ( แบบเก่า )
มาแล้วจำนวน 2 ครั้งครับ เมื่อปี พ.ศ. 2551 และ พ.ศ. 2552 ก็ยังไม่ผ่านสักที
ก็เลยตัดสินใจลาออกจากกงานเพื่อที่จะมุ่งเน้นกับการเรียนอย่างจริงจังที่วาเซดะ กรุงเทพฯ
โดยเริ่มเรียนตั้งแต่ เดือนเมษายน ปี 53 เป็นต้นมา ซึ่งในระหว่างนั้นก็สอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น
ระดับ N3 ( แบบใหม่ ) ประสบความสำเร็จในการสอบครับ ผ่านฉลุย  และท้ายสุดคือการเข้าสอบ
วัดระดับภาษาญี่ปุ่น ระดับ N2 ( ถือว่าเทียบเท่ากับระดับ 2 แบบเก่า ) เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ปี 53
แฮะๆๆๆๆ ไม่ผ่านครับ สอบตก อิอิ ตอนนั้นเสียใจมากเลยครับ

แต่ไม่เป็นไรครับความรู้อยู่กับตัวเรา ยังมีโอกาสสอบอีกตั้งมากมาย ปีนี้เอาใหม่
ไม่ยอมแพ้หรอกนะ  ตอนนี้ก็กำลังเรียนติวสอบวัดระดับอยู่ที่วาเซดะ ศรีราชาอยู่ครับ
ในใจคิดว่ายังไงต้องทำให้ได้  ยังไงก็ไม่ยอมแพ้แน่ๆ  (เอ๊า  ปรบมือออออ)


เราติดตามชีวิตการเรียนภาษาญี่ปุ่นของคุณดำมานาน ( เป็นปี )
เห็นว่าคุณดำมีความเพียรและพยายามเป็นอย่างมาก มันมีแรงจูงใจ
หรือ แรงบันดาลใจที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับสิ่งที่คิดว่า

” มันยากจัง … จะไหวไหม “

ผมคิดว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นคนดีได้ หรือ คนเราเลือกเกิดไม่ได้
แต่สามารถเลือกหรือกำหนดเส้นทางชีวิตของตนเองได้นะครับ ผมคิดแบบนี้อยู่บ่อยๆครับ
ดังนั้นผมจะคิดและวางแผนในการดำเนินชีวิตของผมเอง เช่นการเรียนภาษาญี่ปุ่น
ตอนแรกที่เรียนผมยอมรับครับ ว่าเคยโยนหนังสือทิ้งเลยก็มี มันรู้สึกว่ายากมากมาย
ทำใมมันยากอย่างนี้ ไม่เรียนแล้ว

แต่ในเมื่อเรามีแผนและดำเนินการตามแผนแล้ว  จ่ายเงินค่าเรียนไปแล้วด้วย
เราจะล้มเลิกไปง่ายๆนั้น ไม่ได้ครับ ต้องอดทน ต้องพยายาม มันไม่มีอะไรที่ยากเกิน
ความสามารถของคนไปได้หรอกครับ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีอุปสรรค
แต่ภายในอุปสรรคนั้นมันก็มีแสงสว่างและทางออกของมัน ขึ้นอยู่ว่าเราจะอดทน
และค้นหาแสงสว่างหรือทางออกของตัวเองเจอหรือเปล่า

สำคัญที่สุดก็คือ ไม่มีอะไรยากหรือเป็นไปไม่ได้ถ้าคนเราหรือมนุษย์เรายังคงมี
ความเพียรพยายามและมุ่งมั่นอยู่น่ะครับ  เวลาเจออุปสรรคหรือปัญหามันก็มีบ้างที่เหนื่อย
ล้า หรือ ท้อแท้ ท้อแท้ได้นะครับแต่ห้ามท้อถอย สู้ๆๆ ครับ

เป้าหมายในการเรียนภาษาญี่ปุ่น

เป้าหมายสูงสุดในการเรียนภาษาญี่ปุ่นของผม ณ ตอนนี้ คือ
การสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น ระดับ N2 ผ่านให้ได้ก่อนนะครับ
และก็จะพยายามหาเวลาเรียนและหาความรู้เพิ่มเติมอีกนะครับ
ในอนาคตถามว่าจะมุ่งมั่นที่จะให้ได้ระดับ N1 เลยไหม
ตอนนี้ผมยังไม่ได้ตั้งเป้าหมายไปถึงขนาดนั้นหรอกครับ
คงจะต้องขอทำเป้าหมายปัจจุบัน ( การสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น ระดับ N2 )
ให้สำเร็จก่อนครับ

ฝากอะไรถึงคนที่กำลังเตรียมตัวสอบวัดระดับเหมือนคุณดำ

ขอให้ทุกๆคนที่กำลังเตรียมตัวสอบวัดระดับอยู่เหมือนกันกับผม
ไม่ว่าจะเป็นการสอบวัดระดับใดก็ตาม อย่างไงก็ขอให้ทุกๆคน
พยายามทำอย่างสุดความสามารถครับ ไม่ว่าผลสอบออกมาจะเป็นอย่างไรก็ตาม
( แน่นอนเราทุกๆท่านก็คาดหวังที่จะผ่านให้ได้ )
ยังไงก็ขออย่าได้ยอมแพ้นะครับ

มาครับ เรามาพยายามด้วยกัน

 

รายการโทรทัศน์สัมภาษณ์นักศึกษา ม.วาเซดะ อภินรา ศรีกาญจนา

รายการ Station of Life  สัมภาษณ์ อภินรา  ศรีกาญจนา (มะปราง)
นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะศิลปศาสตร์นานาชาติ  มหาวิทยาลัยวาเซดะ
ที่โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ ค่ะ

มะปรางได้เล่าถึงการเรียนที่วาเซดะและการใช้ชีวิตในประเทศญี่ปุ่นไว้อย่างน่าสนใจ
พร้อมทั้งคำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยวาเซดะหรือไปเรียนที่ญี่ปุ่น

ติดตามชมได้ในรายการ Station of Life ช่อง TNN2 (True Visions)  
วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคมนี้ เวลา 14.00น. นะคะ

อ่านข้อมูลเกี่ยวกับคณะศิลปะศาสตร์นานาชาติ  มหาวิทยาลัยวาเซดะ
http://www.waseda.jp/sils/en/

 

แนะนำนักศึกษาฝึกงาน แห่งวาเซดะ ศรีราชา

วาเซดะ ไดอะรี่  วันนี้ขอแนะนำให้รู้จักกับน้องๆนักศึกษาฝึกงาน 2 คน ค่ะ
ณัฐฐรี โสธรวิไล (ฝ้าย)  และ  จิตรา  แก้วกล่ำ  (น้ำ) 

ทั้งสองเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
คณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาภาษาญี่ปุ่น

บ้านเกิดของน้ำอยู่ที่บางแสน ส่วนบ้านของฝ้ายอยู่ฉะเชิงเทรา
อยู่ใกล้ๆกับวาเซดะ ศรีราชานี่เอง

ทำอย่างไรจึงมาฝึกงานที่วาเซดะศรีราชาได้คะ

ฝ้าย  :  ต้องเริ่มจากที่เมื่อช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้วค่ะ ตอนนั้นวาเซดะกำลังจะมีพิธีเปิดอาคารฯ
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม Japanese Fun Course  เพื่อนชวนให้มาลองฝึกงานที่นี่ เพราะมีประกาศ
รับสมัครนักศึกษาช่วยงานกิจกรรม Japanese Fun Course เป็นระยะเวลา 10 วัน ก็คิดว่า
“เออ น่าสนใจดีนะ ปิดเทอมก็ว่าง อยู่บ้านก็เบื่อ” ก็เลยจับมือเพื่อนอีกคนตุเลงๆกันมาสมัคร
พอมาได้ทำแล้วก็รู้สึกชอบเพราะได้ฝึกภาษาญี่ปุ่นที่ตัวเองเรียนมา
พอดีกับว่ากำลังจะหาที่ฝึกงานพอดี ก็เลยทำเรื่องมาฝึกที่นี่ซะเลย

น้ำ : เคยได้ร่วมงาน part time กับวาเซดะที่กรุงเทพฯมาก่อนค่ะ หลังจากนั้นทราบข่าวว่า
วาเซดะมาเปิดที่ศรีราชา เลยตามมาขอฝึกงานที่นี่ เพราะอยากร่วมงานกับพี่ๆ ที่วาเซดะ
และอีกอย่างก็คืออยู่ใกล้บ้าน เดินทางสะดวกค่ะ

การทำงานในแต่ละวันที่วาเซดะศรีราชา  ทำอะไรบ้าง

ฝ้าย  :  งานที่ทำก็มีบันทึกข้อมูลลงคอมพิวเตอร์ บางทีพี่ๆก็จะมีงานให้แปลจาก
อาจารย์ญี่ปุ่นเล็กๆน้อยๆ  ช่วยงานในสำนักงาน หรือว่าบางอาทิตย์ที่จะต้องออกบูธ
ประชาสัมพันธ์ ก็ต้องเตรียมอุปกรณ์สำหรับทำกิจกรรมในการออกบูธ อย่างเช่น
พับโอริกามิ  Paper Craft  ช่วยประสานงานสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่กับอาจารย์

น้ำ : ในแต่ละวันก็แตกต่างกันออกไป อย่างช่วงที่มีกิจกรรม Japanese Fun Course
ก็ได้มีโอกาสเข้าไปเป็นสต๊าฟในห้องคอยช่วยเหลืองานสอนของอาจารย์ หลังจากเที่ยง
ก็เป็นกิจกรรมวัฒนธรรมญี่ปุ่น อันนี้ก็มีหลายอย่างเช่น การพับกระดาษโอริกามิ
ทำขนมโมจิ ทาโกะยากิ กิจกรรมแต่ละอย่างสนุกมาก จากที่ไม่เคยทำอาหารญี่ปุ่นมาก่อน
ก็ได้มาลองทำจริงๆที่นี่ค่ะ

ความประทับใจจากกิจกรรม Japanese Fun Course

ฝ้าย  : ประทับใจมากๆค่ะ เพราะได้มีส่วนร่วมในการสอนวัฒนธรรมญี่ปุ่นให้น้องๆ
และที่สำคัญประทับใจน้องๆที่มาร่วมกิจกรรมทุกคน เพราะไม่ว่าจะให้ทำกิจกรรมอะไร
น้องๆให้ความร่วมมือตลอด ทำให้กิจกรรมมีความสนุกและน่าสนใจมากขึ้น
ทุกคนน่ารักมาก และยังทำให้เซนเซกับสต๊าฟมีความสนิทกันมากขึ้น
เพราะต้องช่วยกันทางด้านการสื่อสารกับน้องๆตอนที่เรียน

น้ำ :  อย่างแรกนะคะ คือประทับใจน้องๆรุ่นนี้ เพราะน้องๆเป็นกันเองมาก น่ารัก
และได้ลองทำอะไรใหม่ๆ อย่างเช่นขนมโมจิ ไม่เคยรู้เลยว่าทำอย่างไรจนได้มามีส่วนช่วย
ในกิจกรรมครั้งนี้ และยังได้พัฒนาความรู้ทางด้านวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นไปอีก
ส่วนเซนเซมีความเป็นกันเองและประทับใจที่เซนเซคอยช่วยแก้ไขเวลาที่ใช้ภาษาญี่ปุ่นผิดๆ
ชอบเวลาที่เข้าไปช่วยเซนเซสอนในห้อง เหมือนทำให้ตัวเองได้ทบทวนภาษาญี่ปุ่นทุกวัน

บรรยากาศการทำงานที่วาเซดะศรีราชา

ฝ้าย  : พี่ๆทุกคนใจดี และให้ความเป็นกันเอง ทำงานเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน
ทำให้การทำงานที่ยากๆกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น มีปัญหาอะไรพี่ๆที่นี่ก็จะคอยให้ความช่วยเหลือ
ที่ศรีราชาทุกคนจะสนิทกันมาก สนิทกันตั้งแต่อาจารย์ เจ้าหน้าที่ แม่บ้าน พี่ที่ร้านกาแฟ
ยันรปภ. เลยค่ะ

น้ำ : บรรยากาศที่ศรีราชาค่อนข้างดี เพราะอยู่ใกล้ธรรมชาติ เงียบสงบ
เหมาะกับการเป็นสถานที่เรียนมากๆ  อากาศดี อยู่ติดภูเขา
ที่สำคัญคือ ไม่ต้องปวดหัวกับปัญหารถติดค่ะ

มาฝึกงานที่นี่ให้ประสบการณ์ชีวิตอะไรกับน้องๆบ้าง

ฝ้าย  : ที่นี่ให้อะไรหลายๆอย่าง ฝึกการทำงานที่สามารถนำไปใช้ในการทำงานได้จริง
ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นที่ตัวเองเรียนมา ได้ฝึกระเบียบการทำงานและการตรงต่อเวลา
ได้รู้ว่าการทำงานจริงๆเป็นอย่างไร เวลามีปัญหาในการทำงานควรจะแก้ไขอย่างไร
เรียนรู้วัฒนธรรมญี่ปุ่นมากขึ้น จากอะไรที่ไม่เคยทำ
พอมาฝึกงานที่นี่ได้ทำหมดทุกอย่างเลยค่ะ

น้ำ : มาฝึกที่นี่ให้อะไรหลายๆอย่างเพราะได้ทำงานทุกแผนก ได้ลองใช้เครื่องถ่ายเอกสาร
ได้รับโทรศัทพ์ ได้แนะนำคอร์สเรียน บางครั้งก็ได้สื่อสารกับอาจารย์ญี่ปุ่นในเรื่องต่างๆ
แม้ว่าบางครั้งจะติดขัดไปบ้างแต่ก็รู้สึกดี

ในอนาคตอยากทำงานแบบไหน

ฝ้าย  : อยากจะเป็นไกด์ค่ะ อยากทำงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เพราะเป็นคนที่ชอบเที่ยวอยู่แล้ว
ชอบพูดคุยพบปะผู้คน และอีกอย่างอยากจะใช้ภาษาญี่ปุ่นที่ตัวเองเรียนมาค่ะ

น้ำ :  ในอนาคตอยากจะทำงานบริษัททัวร์ที่ใดที่หนึ่ง เพราะว่าโดยส่วนตัวเป็นคนชอบเที่ยวตามที่ต่างๆ
อยากจะแนะนำให้ทุกๆคนได้รู้จักประเทศไทย

ฝากอะไรทิ้งท้ายก่อนจบกิจกรรมการฝึกงานค่ะ

ฝ้าย  : อยากจะขอบคุณพี่ๆ และเซนเซทุกคนที่คอยช่วยเหลือในเรื่องการฝึกงาน
ขอบคุณพี่แม่บ้าน (พี่ม๊ะ และ พี่โส ) ที่ทำอาหารให้ท้องอิ่มทุกวัน ขอบคุณน้ารปภ.
ที่คอยดูแลความปลอดภัยให้ในตอนกลางคืน ขอขอบคุณค่ะ

น้ำ :   เหลืออีกไม่กี่วันก็จะจบการฝึกงานแล้ว ขอขอบคุณพี่ๆวาเซดะทุกคน
ที่คอยให้ความช่วยเหลือคอยตักเตือนคอยชี้แนะ
มีความสุขมากที่ได้ร่วมงานกับทุกคน ขอบคุณค่ะ

 

ศิษย์เก่าไทยวาเซดะ แห่งเมืองโกเบ

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับน้องฮุ้ง
ศิษย์เก่าของเราที่ไปเรียนต่อที่เมืองโกเบประเทศญี่ปุ่น
น้องฮุ้งเลยได้นำประสบการ์ต่างๆ มาเล่าให้เพื่อนๆได้ฟังกัน
เผื่อว่าใครอยากไปโกเบ  หรืออยากรู้ว่าโกเบเป็นอย่างไร

ลองอ่านกันดูครับ

ก่อนอื่นช่วยแนะนำตัวให้เพื่อนๆได้รู้จักด้วยนะครับ
ชื่อ ฮุ้งคะ ตอนนี้เรียนจบคอร์สภาษาของโรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่งในโกเบแล้วคะ

แล้วไปเรียนภาษาญี่ปุ่นระดับไหนที่โกเบครับ
ตอนนี้เรียนจบในระดับ ไวยกรณ์ N1 แล้วคะ แต่ฮุ้งสอบระดับ N2 ผ่านเรียบร้อยแล้ว

แต่ขอยังไม่สอบ N1 ดีกว่าเพราะรู้สึกว่ามันสูงเกินไป (ฮุ้ง หัวเราะ)

แล้วจะทำอะไรต่อไปครับ
จะไปเรียนต่อที่โรงเรียนที่สอนทางด้าน Animation ที่กรุงโตเกียวค่ะ
เป็นหลักสูตร Animation 2 ปีสอบเข้าได้เรียบร้อยแล้ว
เริ่มเรียนเดือนเมษายน ปีหน้าคะ

แล้วตอนสมัครเข้าโรงเรียนต้องผ่านระดับN2 ก่อนหรือเปล่าครับ
เงื่อนไขของโรงเรียนนี้ ต้องเรียนอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
และต้องผ่านการสอบสัมภาษณ์ก่อนเข้าเรียนคะ

เปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่า  แล้วชีวิตตอนอยู่ที่คันไซเป็นยังไงบ้างครับ อยู่มากี่เดือนแล้ว
อยู่ที่นั่น 9 เดือนแล้วคะ ใช้ชีวิตสนุกสนานมาก ส่วนมากก็จะไปเที่ยวคะ

ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้างครับ แล้วประทับใจทึ่ไหนบ้าง
ชอบวาคายามะค่ะ ที่นี่จะมีสวนสัตว์ด้วย แล้วก็มีสวนน้ำให้เราไปว่ายน้ำกับปลาโลมาได้ด้วย
พอตอนเย็นก็จะไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่เกาะที่มีรูตรงกลาง พอพระอาทิตย์ตกดินพระอาทิตย์
ก็จะอยู่กลางรูพอดี เป็นภาพที่สวยมากๆค่ะ

แล้วโกเบเป็นยังไงบ้างครับ
โกเบเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ๆโอซาก้าคะ สามารถนั่งรถไฟมาได้ ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
จุดเด่นของเมืองนี้ก็คือถ้ามองมาทางด้านหน้าก็จะเป็นทะเล แต่พอมองไปทางด้านหลังจะเป็นหุบเขาค่ะ
สถานที่ท่องเที่ยวที่แนะนำ ถ้ามาโกเบก็อยากจะให้ไปฟาร์มแกะที่อยู่บนยอดเขาคะ
สามารถไปรีดนมแกะได้ด้วยตัวเอง ไปถ่ายรูปเล่นกับฝูงแกะ พอเรารีดนมแกะแล้วเราก็ยังสามารถเอานมนั้น
ไปทำไอศครีมด้วยตนเองได้อีกด้วย

ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนมแกะนั้น เขาก็จะนำไปผลิตไอศกรีมและชีส เพื่อจัดจำหน่าย
(ค่าเข้าชมฟาร์มแห่งนี้ 500 เยนคะ) ฟาร์มแห่งนี้ปิดเวลา17.30 น. หากไปเที่ยวที่นี่กัน
คงต้องรักษาเวลากันด้วยเพราะเดี๋ยวจะไม่ทันรถเมล์เที่ยวสุดท้ายที่ลงจากเขา
แต่ใครเกิดพลาดรถเมล์ก็คงต้องนั่งรถแท็กซี่เพื่อลงจากเขากัน (ขอบอกว่าแพงมากๆ)
หรือใครอยากนั่งชมบรรยากาศรอบหุบเขายามย่ำก็คงต้องเข้าพักที่โรงแรม Rockco Hotel
ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งเดียวบนหุบเขาแห่งนี้

ส่วนสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปมากที่สุดก็คงจะเป็น Kobe Tower  ที่ตั่งอยู่กลางอ่าวToron
(ค่าเข้าชม 300 เยนคะ) แต่หากใครที่เป็นนักเรียนที่มาอาศัพอยู่ในโกเบเป็นเวลา 1 ปี
ก็จะได้รับบัตรสำหรับท่องเที่ยวในเมืองโกเบฟรี ตลอดทั้งปี สามารถไปเที่ยวสวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์
และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆในโกเบ หากใครเบื่ออาหารญี่ปุ่นหรือบรรยาศแบบญี่ปุ่นก็ขอแนะนำให้ไปที่
China Town เพราะที่นี่ บรรยาศเหมือนเยาวราชบ้านเรามาก สามารถไปซื้อเครื่องปรุงสำหรับทำอาหาร
ไทยกันได้ที่นี่นะคะ (แต่ราคาก็แพงเหมือนสินค้านำเข้าทั่วไป)

ที่โกเบยังมี Ijinkan เป็นบ้านพักของชาวต่างชาติสมัยก่อน บรรยากาศคล้ายๆกับยุโรปเลยค่ะ
บริเวณรอบๆมีร้านอาหารสไตล์ยุโรปให้เลือกรับประทานกันได้หลากหลายมาก แต่ถ้ามาเที่ยวชมกัน
ในวันหยุดสุดสัปดาห์ก็จะได้รื่นเริงไปกับสียงดนตรีแจ๊สที่เปิดตลอดทั้งวัน เนื่องจากการไป Ijinkan
ต้องใช้เวลาเดินขึ้นไปและทางค่อนข้างชัน จึงควรเผื่อเวลาในการเดินทางด้วยนะคะ ใกล้ๆ Ijinkan
ก็มีภูเขาอีกลูกหนึ่งที่คู่รักนิยมไปคล้องกุญแจด้วยกัน เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงมากอีกแห่งหนึ่งค่ะ
สำหรับคนที่ชอบสัตว์ทะเล ที่โกเบก็มี Aquriam ให้ไปเยี่ยมชมเหล่าสัตว์ทะเลกัน และถ้าไปเที่ยวชม
กันในช่วงนี้ก็จะได้เจอกับคุณ Santa ที่ว่ายน้ำอยู่กับเหล่าปลาโลมา

แล้วเรื่องอาหารการกินเป็นยังไงบ้างครับ
ก็ดีนะคะ ที่โกเบมีอาหารที่ทำด้วยนมและเนื้อโกเบ ที่ขึ้นชื่อและอร่อยมากๆเลยคะ

ไปเที่ยวโอซาก้ากับเกียวโตหรือยังครับ
ไปมาแล้วคะ เกียวโต สวย บรรยากาศดีมาก วัดเยอะ  ส่วนโอซาก้า ของกินเยอะคะ

สุดท้ายนี้ให้ฮุ้งช่วยฝากอะไรกับเพื่อนๆด้วยครับ ว่าควรเตรียมตัวก่อนไปญี่ปุ่นอย่างไร
ก็ถ้ายังเรียนวาเซดะอยู่ก็เรียนให้จบ Day 5 แล้วค่อยไปจะดีกว่านะคะ เพราะฮุ้งคิดว่าที่นี่สอนดีกว่าคะ

 

ขอให้คนที่กำลังจะสอบวัดระดับในปีนี้ สมหวังนะคร๊าบ !

วาเซดะขอเป็นกำลังใจ และขอส่งพลังงานคลื่นถี่แห่งความรักและความปราถนาดี
แด่เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ นักเรียน นักศึกษา และทุกๆคน ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือ ท่องไวยากรณ์
ท่องคันจิ เพื่อเตรียมลงสนามสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นในเดือนธันวาคมนี้

ส่งคลื่นความรักคงยังไม่พอ เราจึงได้จัดทำ วาเซดะเครื่องรางนำโชค Omamori お守り
สำหรับพกพาไว้เรียกขวัญและกำลังใจของนักสู้ทุกคน  ติดตัวไว้ อุ่นใจค่ะ

โดยสามารถดาวน์โหลดไฟล์ เพื่อประกอบเครื่องรางได้เอง ที่นี่เลยค่ะ

* หมายเหตุ  เครื่องรางที่ประกอบเอง มักจะมีความขลัง 99.99 % นะคะ

 

ปัณณทัต ปคุณวานิช (ฟาง) นักศึกษาคณะศิลปศาสตร์นานาชาติ มหาวิทยาลัยวาเซดะ ประเทศญี่ปุ่น

ปัณณทัต  ปคุณวานิช (ฟาง)
จบการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
ปัจจุบันเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะศิลปศาสตร์นานาชาติ
มหาวิทยาลัยวาเซดะ  ประเทศญี่ปุ่น

ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยวาเซดะได้อย่างไรคะ
สาเหตุจากตอนนั้นรู้สึกเบื่อระบบการสอบโอเน็ตเอเน็ตมากครับ
(ฟางเป็นนักเรียนรุ่นแรกที่มีการสอบเอ็นทรานซ์ด้วยวิธีนี้)
ไม่ไหวแล้ว ขี้เกียจไปแย่งที่เรียนกับคนอื่น ก็เลย เอ๊า … หาที่เรียนใหม่ดีกว่า
จริงๆแล้วผมสนใจประเทศญี่ปุ่นกับภาษาอยู่แล้วครับ

วิธีการสมัครหลักสูตรคณะศิลปะศาสตร์นานาชาติ SILS
อย่างแรกก็ต้องมี Portfolio ก่อนครับ ส่งไปก่อนรอบแรก
ในนั้นก็ใส่กิจกรรมที่เราเคยทำมา อย่างเช่น ทำค่าย ทำกีฬาสี เป็นประธานสี
ทำขบวนพาเหรด แล้วก็เขียนเรียงความ หัวข้อที่ส่งไปก็เรื่องเกี่ยวกับความฝัน
ของฉันในอนาคต จากนั้นก็รอเขาแจ้งมาว่าผ่านไหม ถ้าผ่านก็รอสัมภาษณ์ครับ

ก่อนจะเดินทางไปเรียน ฟางเคยไปญี่ปุ่นมาก่อนหรือเปล่า
เคยครับ ก็เคยไปกับหลักสูตรภาษาญี่ปุ่นระยะสั้น 3 สัปดาห์
กับโรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะครับ

ไปเรียนต่อญี่ปุ่น คุณพ่อคุณแม่ไม่เป็นห่วงแย่เลยเหรอ
ไม่ค่อยเท่าไหร่ครับ เพราะพี่ชายเรียนอยู่ APU อยู่แล้ว ห่างกันคนละโยชน์ครับ (หัวเราะ)
พี่ชายเรียนอยู่ที่ Ritsumekan

ชีวิตเด็กหอญี่ปุ่น
นั่งรถไฟรถไฟก็เสีย ไปโรงเรียนสาย ไม่ได้สอบ (หัวเราะ)
แล้วก็ประสบการณ์รถไฟปลากระป๋องครับ (หัวเราะ) ยัดไม่ได้
ต้องเอาหน้าเกาะติดกระจกแบบนี้ (ทำท่าให้ดู) ต้องยืนแอ่น ตัวลีบ พอประตูปิด ประตูก็เฉียดพุง

แล้วไม่เบื่อเหรอ ต้องนั่งรถไฟแน่นๆทุกวัน
ก็ขึ้นอยู่กับบางวันครับ บางวันก็ไม่แน่นครับ แต่ถ้าแน่นมากๆก็ต้องทำใจครับ

เพื่อนๆร่วมชั้นเรียน
ก็มีคนไทยครับ ต่างชาติก็เยอะ อินเดียก็ฟังสำเนียงยากหน่อย คนจีนเยอะมาก เกินครึ่งห้อง
ส่วนใหญ่ก็เกาะกลุ่มกัน คุยเสียงดัง ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เพื่อนชาวจีนกับสิงคโปร์ก็ค่อนข้างสนิทกันหน่อย
เพราะอยู่หอเดียวกัน บางทีก็ไปคาราโอเกะ ไปโยนโบลิ่ง ไปกินข้าวด้วยกัน



จีบสาวญี่ปุ่นบ้างหรือเปล่า

ยังเร๊ย …  (ทำเสียงหล่อ) ยังเด็กอยู่ ยังไม่คิดเรื่องนี้  … (จริงอ่ะ)

กิจกรรมนอกห้องเรียน ทำอะไรบ้างในมหาวิทยาลัย
ชมรมเยอะมาก ตอนนี้ก็คิดๆอยู่ว่าอาจจะเข้าชมรมแบด แล้วก็ชมรมชักดาบ
(ชมรมชักดาบไม่ใช่ชมรมกินก๋วยเตี๋ยวแล้วเผ่นนะครับ)
แต่เป็นชมรมที่สอนรูปแบบการชักดาบแบบญี่ปุ่น แบบชักดาบออกจากฝักอ่ะ
แต่ไม่ได้ชักดาบแล้วมาฟันกันหรือต่อสู้กันนะครับ
แต่เป็นแค่การแสดงรูปแบบการชักดาบออกจากฝักในลักษณะต่างๆ

กลับเข้ามาสู่คำถามซีเรียส  คณะที่เรียน เรียนอะไรกันบ้าง

เยอะมากครับ เฉพาะ Introduction ก็มีสิบกว่าคอร์ส
แต่ตอนเข้าไปใหม่ๆใครที่ภาษาอังกฤษยังไม่แข็งแรง เขาจะมีการสอบวัดความรู้
พอจบเทอมแรก เทอมที่สองก็จะเข้า Intermediate Course ซึ่งก็จะมีแยกย่อยออกไปอีก
อย่างเช่น ถ้าเรียน Business ก็จะแบ่งออกเป็น International Relation อะไรประมาณนี้

วิชาที่ได้คะแนนดีที่สุด
วิชา Psychology ครับ เพราะเข้าเรียนบ่อยสุด

วิชาที่ … เกือบตก

วิชา Stat เลยครับ  แบบว่าโง่เลขครับ  จบศิลป์คำนวณมา แต่โง่เลข
บางทีตอนสอบก็ถึงขั้นนับนิ้วเลือกช๊อยส์กันเลยทีเดียว  (อุ๊ย อุ๊ย เหมือนกันเลย)

มีแผนเรียนต่อปริญญาโทไหมคะ และจะเลือกเรียนสาขาอะไร
ก็คงจะเป็น Business Management นะครับ
แต่จะเป็นมหาวิทยาลัยอะไรยังไม่ทราบครับ

ไปเที่ยวต่างจังหวัดที่ไหนมาบ้าง
เคยไปออนเซ็นที่ฮาโกเนะกับเพื่อนคนจีน  ไกลหน่อยแต่ก็ดีนะครับ
นั่งรถไฟจากโตเกียวไปประมาณ 2 ชั่วโมง  เป็นออนเซ็นแยกชายหญิง สนุกดีครับ

โตขึ้นอยากเป็นอะไร
ไม่รู้เลยครับ (หัวเราะ) คงเรียนไปเรื่อยๆก่อนน่าจะรู้ว่าตัวเองชอบทำอะไร
อาจจะทำธุรกิจการค้าระหว่างประเทศครับ

 

สัมภาษณ์นักเรียนทุนมงบุโชด้านกฏหมาย : ปองพล ประสาทมงคล (ไถ่)


ปองพล  ประสาทมงคล หรือ ไถ่ จบชั้นระดับมัธยมปลายจากโรงเรียนขอนแก่นวิทยายน
จบปริญญาตรีจากคณะนิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากที่เรียนจบก็ทำงานบริษัท
ที่ปรึกษากฎหมาย ประมาณ 4 ปี ครับ  จากนั้นลองก็มาสอบทุนรัฐบาลญี่ปุ่นดูปรากฏว่าสอบได้
ซึ่งทุนนี้จะเป็นทุนทำวิจัยทางด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ วิทยาเขตโตเกียว
ผมจะเดินทางไปศึกษาต่อในเดือนกันยายนนี้แล้วครับ

ขั้นตอนและวิธีการขอทุนมงบุโช

ปกติวิธีการขอทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นในเมืองไทย จะมี 2 แบบนะครับ แบบแรกคือ
ใช้วิธีการสอบคัดเลือกผ่านสถานทูต และแบบที่สองคือคัดเลือกผ่านมหาวิทยาลัย
แต่ทุนของผมนี้จะใช้วิธีคัดเลือกผ่านสถานทูต เขาเรียกว่ามงบุโชแบบสนามใหญ่ครับ
คือทุกปีช่วงเวลาประมาณเดือนพฤษภาคม ทางสถานทูตจะเปิดรับสมัครสอบตามทุน
ที่ผู้ขอทุนได้รับมา อย่างเช่น ทุนปริญญาตรี ทุนปริญญาโท ทุนปริญญาเอก ทุนทำวิจัย
พอผ่านขั้นตอนแรกได้ก็จะสอบสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษครับ

ข้อสอบยากไหม
ข้อสอบของทุนมงบุโชก็ไม่เชิงยากมากครับ ลักษณะของข้อสอบจะเป็นแบบ Speed Test
คือต้องทำให้ทันครับ ข้อสอบมีประมาณ 60-70 ข้อ ต้องทำให้เสร็จภายใน 1 ชั่วโมง
ดังนั้นจะต้องทำให้เร็ว

จำนวนที่รับ
ประมาณ 40-50 คนครับ  แต่ถ้าเป็นระดับทุนเรียนปริญญาตรีก็ประมาณ 10 คน

ก่อนหน้านี้เคยสมัครทุนอะไรไหมคะ
ไม่เคยครับ ทุนนี้เป็นการสมัครครั้งแรก และปีแรกครับ

ระยะเวลาที่จะไปเรียนที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ
เบื้องต้นคือผมได้ทุนลักษณะวิจัย ไปถึงต้องเรียนภาษาญี่ปุ่นก่อน 6 เดือน อีกปีนึงจึงไปทำวิจัย
กับสถานศึกษาต่างๆ เนื้อหาการทำวิจัยก็เกี่ยวกับกฎหมายครับ หัวข้อ บรรษัทภิบาลที่ดี หรือ
Corporate Governance ซึ่งตอนที่ผมทำงานบริษัทที่ปรึกษากฎหมายผมก็ดูแลเรื่องนี้อยู่ครับ
ถือเป็นการต่อยอดเรื่องงาน ส่วนถ้าอยากจะต่อโทก็ต้องไปสอบเข้าตามปกติครับ

ก่อนที่จะไปสอบชิงทุน มีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นหรือเคยเรียนมาก่อนหรือเปล่าคะ
เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมาก่อนบ้างครับที่ สสท. เมื่อประมาณปลายปีที่แล้ว พอได้ทุนก็เลยลาออก
จากงานประจำ มาเรียนภาษาญี่ปุ่นที่วาเซดะแบบเต็มเวลา โดยเริ่มเรียนใหม่ตั้งแต่ Day Class 1

ทำไมถึงเลือกเรียนกฎหมาย
จริงๆแล้วผมเรียนสายวิทย์มา แต่ว่าเป็นคนสนใจและชอบอะไรกว้างๆมากกว่าที่เรียนมา เกี่ยวกับสังคม
ประเด็นเหตุบ้านการเมือง และก็อยากเรียนอะไรที่มันเป็นวิชาชีพ คือเรียนแล้วสามารถใช้งานได้ก็เลย
เลือกเรียนกฎหมายครับ

การเตรียมตัวก่อนเดินทาง
เตรียมเรื่องภาษาญี่ปุ่นครับ และก็เนื้อหาที่จะทำวิจัย เราก็เตรียมไปบ้างบางส่วน

เคยไปญี่ปุ่นมาก่อนไหม
เป็นการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต ก็ตื่นเต้นดีครับ ส่วนหอพักเป็นของ Jasso
ทุนที่ได้รับจะรวมค่าที่พักและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

นอกจากเรื่องเรียนแล้ว อยากทำอะไรเมื่อไปญี่ปุ่น
ก็อาจจะไปเที่ยวตามเมืองต่างๆและไปเยี่ยมเพื่อนๆครับ

จินตนาการถึงประเทศญี่ปุ่นอย่างไร
ถ้าเป็นโตเกียวก็คงดูเร่งรีบเนื่องจากเป็นเมืองหลวง คนก็น่าจะใช้ชีวิตที่รีบๆ
และเครียดกว่าเมืองไทยนะครับ

เรียนจบแล้วมีแผนจะทำอะไรต่อ
ตั้งใจจะพยายามหาที่เรียนต่อปริญญาโทให้ได้ และกลับมาทำงานเมืองไทยครับ

นอกจากงานด้านกฎหมาย มีความสนใจอะไรเป็นพิเศษไหมคะ
สนใจด้านวัฒนธรรม ประเพณี หรือเพลงก็สนใจครับ แต่สนใจอาหารมากกว่าครับ


อาหารญี่ปุ่นที่ชอบ

ชอบนัตโตะ(ถั่วหมัก)ครับ  ซึ่งอาจจะเป็นอาหารที่คนไทยไม่นิยมเท่าไหร่ เป็นอาหารมักชนิดหนึ่ง
กลิ่นอาจจะแรง แต่ผมเคยอ่านในหนังสือเขาบอกว่ากินนัตโตะผสมไข่สดกินกับข้าว
ผมคิดว่าก็น่าจะดีกับสุขภาพนะ และเห็นการ์ตูนชินจังกินก็ ยืดๆ  … น่าอร่อยดี (หัวเราะ)
ผมก็เลยลองไปซื้อมากินเองเลยครับ อร่อยดีครับ

อาจารย์ที่โรงเรียนวาเซดะเป็นอย่างไรบ้างคะ
เซนเซที่สอนทุกคนก็ตั้งใจ คือมีการเตรียมการเรียนการสอนดีมาก เอาใจใส่นักเรียนอย่างจริงจัง
หากนักเรียนไม่เข้าใจอะไรก็ถามได้เลย เพื่อนร่วมชั้นเรียนก็ดีครับ ตั้งใจเรียน ขยันเรียน

แนะนำสำหรับคนที่กำลังอยากจะสมัครทุนมงบุโช
สำหรับทุนมงบุโช ประการแรกควรศึกษาเรื่องกำหนดการดีๆ เพราะจะเปิดรับสมัครปีนึงประมาณแค่
1 – 2 อาทิตย์เท่านั้น ลอง Search หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต และหาข้อสอบเก่าๆมาลองทำดู
ในเน็ตมีให้โหลดข้อสอบเก่าๆครับ

สิ่งที่ยากที่สุดในการเรียนภาษาญี่ปุ่น
เมื่อเทียบกับที่เราใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่  แต่พอมาเรียนภาษาญี่ปุ่น
ไวยากรณ์มันจะกลับกันอย่างสิ้นเชิง เวลาพูด หรือฟัง แกรมม่าร์จะสลับกัน
ทำให้ไม่คุ้นเคย ต้องอาศัยใช้บ่อยๆ ส่วนการจำคันจิ ก็ต้องท่องเยอะๆ ใช้บ่อยๆ
ถ้าใช้บ่อยจะจำได้ดีครับ

เนื่องจากเรียนหลักสูตร Day Class ทำให้ต้องตื่นเช้าทุกวันติดต่อกันเป็นเวลานานๆ
มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เราตื่นเช้า และสะกดจิตตัวเองให้มาเรียน

(หัวเราะ) โดยหลักสูตรของ Day Class ก็เป็นการบังคับเราไปในตัวครับ เพราะมีการบ้านทุกวัน
ต้องส่งการบ้านทุกเช้า ยังไงก็ต้องตื่นเช้ามาทำการบ้านและส่งการบ้านครับ

เคยโดดเรียนไหม
ไม่เคยโดดครับ แต่ส่วนใหญ่ที่ขาดเรียนก็เพราะมีธุระจำเป็นจริงๆครับ ผมไม่เคยเกเรนะครับ (หัวเราะ)
เคยคิดจะเกเรโดดเรียนเหมือนกันครับ แต่ก็ไม่ได้ทำครับ (หัวเราะ)

 

สัมภาษณ์นักเรียนทุนมงบุโช : ศศิณี พฤกษ์ประเสริฐ (เบลล์)

ศศิณี  พฤกษ์ประเสริฐ หรือ เบลล์ สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย
จบระดับปริญญาตรีจากคณะวิศวกรรมศาสตร์คอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปัจจุบันเบลล์เป็นนักเรียนหลักสูตรภาคกลางวันเร่งรัด Day Class 3 ได้รับทุนรัฐบาลญี่ปุ่น
(Monbusho Scholarship) เพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ณ  Osaka University
ขณะนี้กำลังเรียนภาษาญี่ปุ่นที่โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ (กรุงเทพฯ)
เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปศึกษาต่อในเดือนกันยายนนี้ค่ะ

ช่วยเล่าเกี่ยวกับทุนมงบุโชในสาขาที่เบลล์ได้รับทุนหน่อยค่ะ
เบลล์สมัครทุนนี้ตั้งแต่เรียนปี 4 ค่ะ  ระหว่างรอผลก็มาเรียนภาษาญี่ปุ่นเตรียมไว้ก่อนค่ะ
จนประกาศผลว่าได้รับคัดเลือก ซึ่งเบลล์ก็จะเดินทางไปญี่ปุ่นในเดือนกันยายนนี้
สำหรับทุนนี้ก็แบ่งเป็นประเภทของผู้รับทุนค่ะ ก็จะมีทุนระดับปริญญาตรี  ทุนระดับปริญญาโท
ทุนนักศึกษาวิจัย  ของเบลล์ได้รับทุนระดับปริญญาโทค่ะ ลักษณะการสอบเป็นแบบ
University Recommended คือ ติดต่อกับทางมหาวิทยาลัยที่มีโครงการ
เมื่อทางมหาวิทยาลัยตอบรับแล้วก็ติดต่อกับทุนมงบุโชเพื่อขอเข้ารับทุนนี้

ทุนนี้เป็นโครงการ Twenty First Century สาขา Engineering Science
ใช้ระยะเวลาในการเรียน 2 ปี  เรียนเป็นภาคภาษาอังกฤษ
เบลล์รู้จักทุนนี้จากการที่มีเจ้าหน้าที่มาแนะนำที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
และเป็นทุนให้เปล่า ไม่ต้องชดใช้ทุนค่ะ


ก่อนนี้เคยขอทุนอะไรมาก่อนบ้าง

เป็นการขอทุนครั้งแรกเลยค่ะ  ส่วนสาขาที่เบลล์สมัครไปนี่เขารับ 5 คนค่ะ

คุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับทุนต้องเป็นอย่างไรบ้างคะ
ผลการเรียนต้องได้เกณฑ์ตามมาตรฐานที่ตั้งไว้ ซึ่งจะเป็นเกรดเฉลี่ยตามเกณ์การคิด
แบบญี่ปุ่นน่ะค่ะ  น่าจะประมาณ 3.00 ขึ้นไปนะคะ  คะแนนสอบโทเฟลต้องมากกว่า 550 คะแนน
เนื่องจากเป็นโปรแกรมอินเตอร์ เลยไม่เน้นภาษาญี่ปุ่นมากนัก แต่ที่เบลล์มาเรียนภาษาญี่ปุ่น
ก็เพื่อเอาไว้ใช้ในชีวิตประจำวันค่ะ  นอกจากนี้ก็มีสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ
เขาจะแบ่งเป็นคำถามแนววิชาการ และคำถามเพื่อดูลักษณะนิสัยของเรา
เช่นทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยบ้างไหม ซึ่งเบลล์ก็ทำกิจกรรมชุมนุมของภาควิชา
อย่างงานจัดงานต่างๆ  งานรับน้อง  ปีใหม่  เบลล์ทำหน้าที่เป็นเหรัญญิกค่ะ

หลังจากเรียนจบมีเป้าหมายจะทำอะไรต่อคะ
คิดว่าอาจจะทำงานเป็นนักวิจัย หรือ ไม่ก็ทำงานบริษัทญี่ปุ่นค่ะ


ก่อนหน้าที่จะมาเรียนภาษาญี่ปุ่นที่วาเซดะ เบลล์เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมาก่อนหรือเปล่า

เคยเรียนเป็นวิชาเลือกที่มหาวิทยาลัยค่ะ ก็มีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นมาบ้างแล้ว
ทีนี้ก่อนจะเดินทางไปญี่ปุ่น ก็อยากจะเรียนเพิ่มเติมน่ะค่ะ มีเพื่อนแนะนำให้มาเรียนที่วาเซดะ
เพราะเพื่อนเคยเรียนที่นี่มาก่อน


มีการเตรียมตัวอะไรบ้างก่อนเดินทางไปเรียนที่ญี่ปุ่น

เตรียมทำวีซ่า เอกสารต่างๆ ซึ่งทุนนี้จะครอบคลุมค่าเดินทางทั้งหมด ค่าเครื่องบิน
ค่ากินอยู่เป็นรายเดือน ส่วนที่พักต้องจัดการหาเอง
ที่พักของเบลล์ที่โอซาก้าก็เป็นอพาร์ตเม้นท์เช่ารายเดือนค่ะ

ทางบ้านสนับสนุนเรื่องการเรียนอย่างไรบ้างคะ
ถ้าเกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่นนี่ ทางบ้านก็สนับสนุนเต็มที่ค่ะ
เพราะเห็นว่าภาษาญีปุ่นเป็นภาษาที่สำคัญ
ถึงแม้ว่า เบลล์จะไม่ได้ทุนนี้ ก็ยังสามารถเอาไปใช้งานได้จริงในอนาคต

บรรยากาศการเรียนและชีวิตที่โรงเรียนวาเซดะ
ประทับใจอาจารย์ ที่มีความเป็นกันเอง ใส่ใจ ส่วนเพื่อนๆร่วมชั้นก็น่ารัก
เพื่อนๆในห้องมีหลายกลุ่มหลายอายุ หลายอาชีพ แต่ทุกคนก็เป็นมิตร นิสัยดีมีน้ำใจมากค่ะ

เคยไปญี่ปุ่นมาก่อนไหม
ไม่เคยค่ะ  ครั้งนี้เป็นการเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต และต้องเดินทางคนเดียวด้วย


ประเทศญี่ปุ่นในความรู้สึกของเรา มีมุมมองต่อประเทศนี้อย่างไรคะ

ก็คิดว่าเป็นประเทศที่ค่อนข้างคล้ายกับบ้านเรานะคะ
ในแง่ของเรื่องการอ่อนน้อมถ่อนตนต่อผู้อาวุโสกว่าหรือเรื่องมารยาท
การเคารพผู้ใหญ่ และเป็นประเทศที่ค่อนข้างมีระเบียบ


สิ่งที่ตั้งใจอยากจะทำเป็นพิเศษ นอกเหนือจากเรื่องเรียน

ถ้านอกเหนือจากเรื่องเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย  ก็อยากจะเรียนภาษาญี่ปุ่นเพิ่มค่ะ
อยากเรียนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  ส่วนนอกเหนือจากนี้ยังไม่ได้คิดเลยค่ะ
อยากเน้นที่เรื่องเรียนก่อน ยังไม่มีแผนเรื่องไปเที่ยว หรือกิจกรรมอื่นๆค่ะ

ทำไมจึงเลือกเรียนวิศวกรรมศาสตร์คอมพิวเตอร์คะ
เป็นคณะที่ส่วนใหญ่ผู้ชายน่าจะเลือกเรียนมากกว่า

วิศวกรรมคอมพิวเตอร์เดี๋ยวนี้ผู้หญิงก็เรียนกันเยอะนะคะ  เพราะสาขานี้จะไม่เหมือนวิศวะฯอื่นๆ
ตรงที่ไม่ได้ลงไปคลุกคลีกับเครื่องจักร ส่วนใหญ่จะอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์
ถ้าเทียบกับวิศวกรรมสาขาอื่นๆ คิดว่าผู้หญิงก็น่าจะมีโอกาสพอๆกับผู้ชายค่ะในการทำงานค่ะ

 

Student Talk : ภูษิต ตุงคง (ดำ)


สวัสดีครับ ผมชื่อ ภูษิต  ตุงคง ชื่อเล่น ดำ จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา
จากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน ( กศน. นะครับ )จากนั้นมาเรียนต่อในระดับ
ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ( ปวส. ) คณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด
ที่วิทยาลัยเทคนิคตราด เมื่อเรียนจบแล้วก็เข้ามาเรียนต่อในระดับปริญญาตรี
คณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด ที่มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต หลังจากเรียนจบ
การศึกษาในระดับปริญญาตรีแล้ว ผมก็ลงเรียนภาษาญี่ปุ่นที่สมาคมส่งเสริม
เทคโนโลยีไทย – ญี่ปุ่น ( สสท. ) ระยะเวลาประมาณครึ่งปี
เมื่อเทียบกับที่วาเซดะ ก็คือ จบหลักสูตร Day Class 2 นะครับ

เรียนที่วาเซดะหลักสูตรอะไรมาบ้าง
หลักสูตรแรกที่ผมเริ่มเรียนที่วาเซดะ คือ หลักสูตร Day Class 3 ครับ
เริ่มเข้าเรียนเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2553  นี่เองครับ  ปัจจุบันเรียนอยู่
Day Class 4 ครับ  และคาดว่าจะเรียนต่อ Day Class 5 ในเทอมหน้าด้วย
ผมจะพยายามเรียนให้จบภายในสิ้นปีนี้ครับ

ก่อนจะตัดสินใจละทิ้งงานการทุกอย่าง แล้วตั้งใจมาเป็นนักเรียนประจำที่วาเซดะ
เคยทำงานเกี่ยวกับอะไร  แล้วสาเหตุที่ตัดสินใจลาออก
เพื่อลงทุนเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียวคืออะไรคะ

ก่อนหน้าที่จะเรียนที่วาเซดะ ผมทำงานอยู่บริษัทมิยาซากะ คอมโพเน้นท์ ( ประเทศไทย ) จำกัด
บริษัทฯ ดำเนินการเกี่ยวกับการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ โดยสำนักงานและโรงงานตั้งอยู่ที่อำเภอ
ปลวกแดง จังหวัดระยอง  ติดกับเขตอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีครับผมทำงานที่บริษัทฯ นี้ 5 ปี
พยายามลองสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นในระดับ 2 มาสองปีซ้อนเลย แต่ก็ยังไม่ได้ซะที
ก็เลยตัดสินใจมาเรียนต่อ  เพื่อเป้าหมายคือ จะต้องสอบวัดระดับ 2 ให้ได้
หวังว่าการสอบวัดระดับครั้งหน้า ผมจะสอบผ่านนะครับ
แต่ด้วยศักยภาพการสอนของวาเซดะ ผมคิดว่าผ่านชัวร์

ทำไมจึงเลือกเรียนที่วาเซดะ
ผมเคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมา  2 – 3 โรงเรียนแล้วนะครับ แต่ละที่ก็มีวิธีการสอนที่ไม่เหมือนกัน
เป็นธรรมดาที่อาจารย์ก็สอนแตกต่างกันออกไป  ประกอบกับเมื่อ 2 -3 ปีก่อนหน้านี้ ผมพยายาม
ลองหาโรงเรียนภาษาญี่ปุ่น เพื่อจะหาที่เรียนต่อ  ผมก็ Search หาทางอินเตอร์เน็ตและสอบถาม
จากเพื่อน และคนที่รู้จักก็แนะนำว่าถ้าอยากเรียนแบบจริงๆ จังๆ ก็ให้มาเรียนที่วาเซดะดีกว่า
เพราะว่ามีชื่อเสียงเรื่องความเข้มงวดกับนักเรียน และความตั้งใจของอาจารย์ที่อยากให้นักเรียนเก่ง
เและสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียนในห้องเรียน แล้วสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง
ผมก็ลองเข้ามาสอบ Placement Test  เพื่อเลือกชั้นเรียนที่เหมาะสมกับพื้นฐานความรู้
ปรากฏว่าก็ได้เรียนหลักสูตร Day Class 3 ครับ

บรรยากาศการเรียนการสอนในห้องเรียน เป็นอย่างไรบ้าง
บรรยากาศการเรียนการสอนในห้องเรียนของวาเซดะดีมากครับ อาจารย์ทุกท่านใจดี
ถึงแม้บางครั้งรู้สึกว่าอาจารย์เคี่ยวเข็ญมาก แต่ก็คงเป็นเพราะอาจารย์ทุกคนอยากให้นักเรียน
สามารถใช้ภาษาญี่ปุ่นได้จริง และเก่งขึ้นนะครับ ส่วนเพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียนทุกคน
นิสัยดีมาก เป็นกันเอง  เมื่อทุกคนมีความรู้สึกเป็นกันเองรวมทั้งอาจารย์ก็ให้ความเป็นกันเอง
ก็เลยทำให้บรรยากาศการเรียนการสอนเป็นไปอย่างสนุกสนานครับ

แรงบันดาลใจที่ทำให้ตัดสินใจเรียนภาษาญี่ปุ่น
แรงบันดาลในที่ทำให้ตัดสินใจเรียนภาษาญี่ปุ่น คงเป็นเพราะมีคนๆ หนึ่งได้เข้ามาให้ชีวิตผมมั้งครับ ( พูดเล่น )
เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วก็คิดว่าจะเอาอย่างไรดีกับชีวิต   อีกอย่างหนึ่งคือพอดีได้รู้จักกับเพื่อนที่เค้าทำงาน
บริษัทญี่ปุ่น เค้าบอกว่าระบบหรือการทำงานแบบญี่ปุ่นน่าจะดีกว่า แบบอื่นๆ นะครับ
( ผมคิดว่าระบบการทำงานของแต่ละประเทศหรือแต่ละองค์กรก็ดีแตกต่างกันไปนะครับ )
ก็เลยเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างจริงจังครับ

สิ่งประทับใจสำหรับชีวิตประจำวันที่วาเซดะ
รู้สึกประทับใจมากๆกับชีวิตประจำวันที่วาเซดะ  ประทับใจอาจารย์และเพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียน
รวมทั้งน้องๆหรือพี่ๆที่เรียนอยู่ในแต่ละ Class  ทุกคนมีความเป็นกันเองมาก คุยด้วยแล้วสนุก
อาจารย์ทุกคนมีความเป็นกันเองครับ ใจดี  เพื่อนๆ ก็เหมือนกันครับ และที่ขาดไม่ได้คือพี่ Staff
ทุกคนที่ทำงานที่วาเซดะ พี่ๆทุกคนใจดีมาก  มีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็สามารถปรึกษาได้ตลอด
คุยด้วยแล้วสบายใจ  ส่วนพี่คนนี้ต้องขอออกนามหน่อย พี่พรที่แสนใจดีของพวกเรา คุยสนุก
ใจดีด้วย  และสุดท้ายที่ประทับใจ คือ อาจารย์ของวาเซดะ  เฮ้อ … .ทำไมน่ารักจังนะ…

อยากไปเที่ยวที่ไหนที่ญี่ปุ่น  และ … อยากไปกับใคร ?
อยากไปเที่ยวแหล่งอาบน้ำแร่ที่ ฮาโกะเนะ ครับ บรรยากาศดีมากครับ ผมเคยไปมาครั้งหนึ่ง
โรแมนติกมาก ยิ่งถ้าได้ไปกับอาจารย์ของวาเซดะ ( อาจารย์…. )ไม่บอกหรอกว่าคนใหน
ก็จะยิ่งดีมากครับ คงจะมีความสุขและติดตาตรึงใจไปชั่วนิรันดร์กาล ( ฮิๆๆๆ )

อาหารญี่ปุ่นที่ชอบรับประทาน และ … อยากรับประทานกับใคร ?
อาหารญี่ปุ่นที่ชอบรับประทาน ก็มี อิกะ โตริยะกิ, เท็มปุระ, คะนิ นิกิริ, คะเร ไรซ์ซึ ฯลฯ
อยากรับประทานกับใคร ก็คงเป็นอาจารย์ของวาเซดะท่านใดท่านหนึ่งที่เราแอบชอบมั้งครับ
อ๊ะเย๊ย … ไม่ใช่…. ทานกับเพื่อนๆ และอาจารย์ทุกคนด้วยครับ   คงอร่อยดีนะ (ฮ่าๆๆ)

ฝากอะไรถึงเพื่อนๆ รุ่นน้องๆ ที่กำลังเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่
สิ่งที่อยากจะฝากถึงเพื่อนๆรุ่นน้องที่กำลังเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่  ก็อยากจะฝากบอกว่า
ในตอนแรกที่ผมเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น  ประมาณช่วงสัปดาห์แรก   ผมก็เคยรู้สึกท้อแท้ครับ
ทำไมมันยากอย่างนี้ ถึงขั้นที่ว่าครั้งหนึ่งพอกลับถึงบ้านผมโยนหนังสือเรียนทิ้ง
และพูดกับเพื่อนว่าไม่เรียนแล้ว ยากมาก แต่ในที่สุด ผมก็อดทนพยายามมานะบากบั่นเรียนมาเรื่อยๆ ครับ
พอระยะเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเดือน ก็เริ่มสนุกครับ  เพื่อนๆ ร่วมชั้นก็เริ่มสนิทกัน
อาจารย์ก็เป็นกันเอง ก็เลยรู้สึกเหมือนกับว่ายิ่งเรียนยิ่งสนุก
รู้สึกว่าระยะเวลาเรียนในแต่ละวันเหมือนสั้นเกินไปซะด้วยซ้ำ

สุดท้ายนี้ก็ขอให้เพื่อนๆหรือรุ่นน้องๆ ที่กำลังเรียนภาษาญี่ปุ่นพยายามมุ่งมั่น
เอาใจใส่ในการเรียนกันมากๆ นะครับ ขยันอ่านหนังสือ ทำการบ้าน  ยิ่งอ่านมาก เขียนมาก
และทำแบบฝึกหัดมากๆ  ก็จะยิ่งทำให้เราเก่งภาษาญี่ปุ่น ในด้านไวยกรณ์ หรือการอ่าน
การเขียนนะครับ สำหรับการพูดนั้นก็ต้องพยายามหัดพูดครับ พยายามหาเพื่อนคนญี่ปุ่น
หรือพยายามคุยกับอาจารย์ให้มากๆนะครับ ยิ่งฝึกพูดมากๆก็จะทำให้เราชินกับการใช้
ภาษาและไม่เขินอายครับ  ต้องไม่อายที่จะพูดภาษาญี่ปุ่น เพราะถ้าเราไม่กล้าที่จะพูด
หรือกลัวพูดผิด นั้นแหละครับคืออุปสรรคของเรา

皆さん、頑張りましょう。

 

Student Talk ติณณวัฒน์ เนื่องจำนงค์ (ฟีล์ม) นักศึกษาไทยที่ไปป๊อบปูล่าร์ที่ญี่ปุ่น


ติณณวัฒน์ เนื่องจำนงค์ หรือ ฟีล์ม เรียนจบระดับชั้นมัธมปลายจากโรงเรียนสารสาสน์เอกตรา
จบปริญญาตรีคณะศิลปะศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ (SILS) จากมหาวิทยาลัยวาเซดะ  โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ขณะนี้กำลังเตรียมตัวเพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาโทอยู่ที่ญี่ปุ่นเช่นกันค่ะ

หลังจากที่เรียนจบม .ปลายที่เมืองไทย ฟิล์มมาเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่ญี่ปุ่นได้อย่างไรคะ
ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว จำได้ว่าตอนนั้นผมก็ยังงงๆกับชีวิตก็ตัวเองอยู่เหมือนกัน รู้แค่เพียงว่าอยากไปญี่ปุ่น
คือเป็นที่ไหนก็ได้ ขอแค่เป็นญี่ปุ่น คือช่วงนั้นก็กำลังเบื่อๆกับชีวิตประจำวันของตัวเองที่เมืองไทย
และบังเอิญคุณแม่ไปเจอ Waseda Education Thailand ที่บูธงานศึกษาต่อต่างประเทศ
แล้วก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณชูอิชิ  ทาคาฮาชิ ซึ่งได้แนะนำให้ลองสมัครที่ วาเซดะ หรือไม่ก็ APU
ผมก็ลองสมัครไป ซึ่งโชคดีที่ได้ทั้งสองที่เลยนะครับ แต่ผมตัดสินใจเลือกที่วาเซดะ เพราะคนไทยน้อยกว่ามาก
แล้วก็อยู่ในโตเกียวด้วย จำได้ว่าตอนนั้น เดินทางไปเรียนต่ออย่างไร้จุดมุ่งหมาย
เนื่องจากว่ายังไม่ได้มีแพลนอะไรไว้ในหัวเลย

ปัจจุบันกำลังจะศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ญี่ปุ่น ช่วยเล่าถึงหลักสูตรที่เรียน
และ
วิชาที่เรียนเป็นอย่างไร เรียนอะไรบ้าง
คะ
ตอนนี้กำลังสมัครเข้าระดับปริญญาโทอยู่ครับ สมัครไว้สองที่กันเหนียว มหาวิทยาลัยหนึ่งก็ตอบรับแล้วครับ
ส่วนอีกที่คือ มหาวิทยาลัยวาเซดะ คณะที่จะเรียนต่อคือ Graduate School of Asia-Pacific Studies (GSAPS)

แปลเป็นภาษาไทยง่ายๆก็คือ การศึกษาเกี่ยวกับภูมิภาคเอเซีย สาขาหลักที่ลงไว้ก็คือ
Telecommunications Economics, Business and Policy Evaluation

ซึ่งให้ความสำคัญกับการสื่อสารในรูปแบบต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อ ธุรกิจและเศรษฐกิจ

ส่วนอีกที่ที่สมัครไว้ และอยากจะไปมากๆๆๆๆ ก็คือที่ Nagoya University
คณะ
Graduate School of International Development (GSID)
สาขา International Development (DID) ซึ่งเน้นหนักไปในด้านการพัฒนาประเทศที่กำลังพัฒนา
โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาทางทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เพื่อนบ้านเรานี่เอง) ซึ่งผมคิดว่าน่าสนใจมาก
เพราะผมเชื่อว่าอีกไม่นาน ประเทศเพื่อนบ้านของเราจำเป็นกำลังสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ในขณะที่ความมั่นคง
ของแรงงานจีนกำลังลดลงทุกวัน  ทั้งนี้ทั้งนั้น เหตุผลหลักๆเลยที่อยากไปนาโกยา ก็เพราะตอนนี้เริ่มเบื่อโตเกียวแล้ว

และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ จะได้ไปช่วยที่บ้านทำงานด้วย เพราะมีออฟฟิศของบริษัทครอบครัวประจำอยู่ที่นาโกยา
เรียนไปทำงานไป แอบพ่อเที่ยวได้ด้วย ยิ่งปืนนัดเดียวได้นกเต็มเลย (หัวเราะ)

อยู่ญี่ปุ่นมากี่ปีแล้วคะ และช่วยเล่าชีวิตที่ญี่ปุ่น หลังจากที่อยู่อาศัยมาในระยะหนึ่ง
ผมอยู่ญี่ปุ่น 4 ปีเต็มๆแล้วครับ ถ้าจะให้เล่ากันจริงๆมันจะยาวมากๆเลย  เริ่มจากตอนเข้ามาเป็นน้องเฟรชชี่ปีหนึ่ง
เป็นช่วงที่ทรมานมาก ภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ได้ คนญี่ปุุ่นเขาคิดอะไรกันก็ไม่เข้าใจเพราะเขาแตกต่างกับเรามากๆ
ผมเริ่มต้นชีวิตที่ญี่ปุ่นจากหอพักชายวาเคจุกุ ที่ขึ้นชื่อเลยว่าโหดเหี้ยมมากๆ(ฮ่าๆๆ) เนื่องจากการจัดการระบบต่างๆของหอพัก
ค่อนข้างอย่างมีระเบียบมากๆ โดยเฉพาะเรื่องของความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง รุ่นน้องต้องฟังรุ่นพี่ทุกอย่าง สั่งให้ทำอะไรก็ทำ
ไม่อย่างนั่นจะโดน ignore แน่นอน ผมก็โดนมาแล้วครับ   พอขึ้นปีที่สองผมก็เริ่มเข้าชมรม ทำกิจกรรมต่างๆ
ช่วยงานของทางมหาวิทยาลัย … ส่วนเรื่องเรียนก็เอาแค่พอไปได้ เน้นกิจกรรมเพื่อหาประสบการณ์มากกว่าครับ
ซึ่งมันก็สนุกดีนะ ได้เรียนรู้สิ่งที่สร้างสังคมญี่ปุ่น เรียนรู้ระบบระเบียบของเขา รู้จักวิธีการทำงานของเขา
ข้าใจความคิดของคนญี่ปุ่นมากขึ้น ในทางกลับกันก็เริ่มตั้งคำถามตัวเอง ว่าเราทำอะไรอยู่กันแน่ เรามาที่ญี่ปุ่นเพื่ออะไรกันแน่


ปีที่สองคือ วันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยนเป็นปีที่ตัวเองมีจุดมุ่งหมาย สร้างความฝันของตัวเองเพื่อเดินตามไป
จุดหมายหลักๆเลย ก็คือ อยากจะเป็นประธานชมรมที่ตัวเองทำกิจกรรมอยู่ เป็นคนที่แม้แต่คนญี่ปุ่นก็เคารพ รัก
กลับมาประเทศไทยอย่างมีค่า ไม่ใช่กลับมาอย่างไร้ตัวตน  ผมทำงานกระทั่งตั้งโต๊ะขายขนมครกไทยๆ ในงานมหาวิทยาลัย
ทำแบบงูๆปลาๆ บริหารกันมั่วๆซั่วๆสไตล์ไทย แน่นอนครับ ล้มเหลวไม่เป็นท่า ขาดทุนไปหนึ่งแสนเยน นั่งเซ็งอยู่หลายวัน
แต่ประสบการณ์ครั้งนั้น ทำให้ได้เรียนรู้อะไรเยอะมากๆ

จุดเปลี่ยนแปลงความคิดและแนวทางในการใช้ชีวิต อยู่ประมาณช่วงปีไหน
น่าจะเป็นช่วงที่เข้าสู่ปีที่สามและสี่ครับ เพราะเป็นช่วงที่ได้ใช้้เวลาสะสมประสบการณ์ ใช้เวลาค้นหาตัวเอง
สร้างกำลังสร้างฐานของตัวเองให้มั่นคง เพื่อจุดหมายที่ตั้งไว้ ปีที่สี่เป็นปีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในทุกๆด้าน
การเรียนก็เก็บหน่วยกิจครบหมดแล้วจบได้ชัวร์ๆ ขึ้นปีสี่ ในที่สุดเพื่อนๆเขาเลือกให้ผมขึ้นเป็นประธานชมรม
เป็นประธานชมรมคนเดียวที่จดทะเบียนกับทางมหาวิทยาลัยที่เป็นคนต่างชาติ ชมรมที่บริหารมาก็ประสบความสำเร็จ
สื่อต่างๆเข้ามาขอสัมภาษณ์ ทั้งสื่อในโรงเรียน สื่อนอกโรงเรียน เป็นตัวแทนออกทีวีช่อง NHK Education
ส่วนวิทยานิพนธ์ก็ปั่นเอาวินาทีสุดท้าย แต่ก็จบไปได้ด้วยดีครับ

สรุปแล้วผมค่อนข้างพอใจกับชีวิตที่ญี่ปุุ่นมาก ผิดพลาดก็เยอะ แต่ทุกอย่างมันคุ้มค่ากับที่ลงแรงไป จุดหมาย
หรือความฝันที่ตั้งไว้ก็เดินทางไปครบหมดแล้ว

ชีวิตนักศึกษาชาวญี่ปุ่น ฟิล์มคิดว่า เหมือน หรือ แตกต่างจากชีวิตนักศึกษาไทยอย่างไร
แตกต่างกันมากครับ แทบจะหาที่เหมือนกันไม่ได้เลย พูดกันตรงไปตรงมาเลยนะครับ เด็กนักเรียนไทยติดเล่นติดสนุก
ชีวิตมหามหาวิทยาลัยเอาไปเที่ยวเล่นซะมากกว่า จบออกมาแล้วไม่มีผลงาน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนอกจากกระดาษหนึ่งใบ
เห็นๆกันอยู่ทุกวันนะครับ เทรนด์เกาหลีมา ก็พากันเกาหลีทั้งประเทศ เทรนด์บีบีมา ก็พากันใช้บีบีไปทั้งประเทศ
ขาดความเป็นตัวของตัวเอง ขาดจุดยืนของตัวเอง ขาดจุดมุ่งหมายของตัวเอง  ต่างกันมากกับชิวิตนักศึกษาญี่ปุุ่น

ชิวิตในมหาวิทยาลัย สำหรับคนญีปุ่น คือช่วงเวลาที่ตัวเองจะได้มีอิสระมากที่สุด ก่อนที่จะโดนโขกสับในที่ทำงาน
ดังนั้นคนญี่ปุุ่นจึงใช้เวลาช่วงมหาวิทยาลัยอย่างเต็มที่ ทำทุกอย่างที่อยากทำ ไม่ต้องสนใจใคร ไม่แคร์สายตาใคร
ทำทุกอย่างตามใจตัวเอง เพื่อจุดมุ่งหมายของตัวเอง ไม่เดินตามใคร จะใช้เวลาส่วนใหญ่กับกิจกรรมชมรมที่พวกเขาชอบ
หรือเห็นว่าเป็นผลดีกับตัวเอง แล้วทำกันจริงๆจังๆนะครับ ไม่ใช่ครึ่งๆกลางๆ บางชมรมมีเงินหมุนเวียนหลายเสนเยน

ตัวอย่างเช่น ชมรมที่ผมเป็นประธานก่อนจะเรียนจบ  ก็มีเงินหมุนเวียนอยู่เกือบหกแสนเยน
นอกจากทำงานในชมรมแล้ว เวลาว่างก็พวกเด็กญี่ปุุ่่นจะไปทำงานพิเศษหาเงินเก็บไว้เที่ยวต่างประเทศ
บางคนหาเงินส่งตัวเองไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศก็มี สรุปคือ เค้าใช้ชีวิตกันคุ้มค่า เป็นตัวของตัวเอง
ไม่ใช่ไปเที่ยวเล่นกินเหล้าตามผับ เดินห้างกันไปวันๆ

กลับมาพักร้อนที่เมืองไทย 1 เดือน ทำอะไรบ้างคะ
กลับมาคราวนี้ก็มาทำงานกับที่บ้านครับ เป็นช่างซ่อมรถ ทำทุกอย่างที่เขาสั่งให้ทำ แรงงานดีๆนี่เอง
แล้วก็มาเจอเพื่อนๆอันน้อยนิด พักผ่อนเรื่อยเปื่อยตามใจฉัน แต่หลักๆก็คือศึกษาธุรกิจของครอบครัวครับ

อยากอยู่ญี่ปุ่นแบบถาวรไหมคะ
ถาวรนี่ไม่ไหวครับ อยู่ญี่ปุุ่นเหนื่อยนะ  ชีวิตในฝันเลยคืออยู่แบบครึ่งๆกลางๆ ครึ่งหนึ่งอยู่ไทย
อีกครื่งอยู่ญี่ปุ่นสลับไปมา มันไม่น่าเบื่อ เหนื่อยก็หนีไปพัก เบื่อก็บินกลับไป ส่วนเหตุจูงใจนั้นมีมากมายเกินจะบรรยายเลยครับ
เอาง่ายๆเลยก็คือ เทคโนโลยีของที่ญี่ปุ่น สะดวกมาก อินเตอร์เน็ตก็เร็ว เดินทางไปไกลแค่ไหนก็มีรถไฟแรงๆไป ยิ่งล่าสุด
อ่านข่าวมาว่าตู้กดน้ำอัดลมแบบใหม่ของญี่ปุ่นเขาจะเปลี่ยนเป็น แบบตู้จอ touch screen 47 นิ้ว ไร้สาระ แต่เท่มาก
น่าอยู่ไหมหละครับ มีอะไรเพี้ยนๆให้ดูทุกวัน ที่สำคัญเลยก็คือชีวิตของคนที่ญี่ปุ่นเขาเป็นระบบระเบียบไปซะทุกอย่าง
ถ้าเราเข้าใจระบบของเขา อะไรๆมันก็สะดวกง่ายดาย วางแผนชีวิตตัวเองไกลๆได้


หลังจากเรียนจบปริญญาโท
มีโครงการหรือแผนชีวิตอย่างไรต่อไป
ความฝันอันสูงสุดคือ ผมอยากจะได้ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
จากมหาวิทยาลัยวาเซดะหรือไม่ก็มหาวิทยาลัยนาโกยาครับ

ขอถามคำถามแบบสบายๆ ไม่ซีเรียส …. ไม่วิชาการ
คำถามคือ …. ให้เลือก ระหว่าง สาวไทย กับ สาวญี่ปุ่น และ กรุณาบอกเหตุผล

ไม่วิชาการนี่ถนัดครับ ระดับนี้แล้ว ต้องเลือกทั้งคู่สิครับ =. =!! สาวไทยกับสาวญี่ปุ่นนั้นมีความแตกต่างมากมาย
สาวไทยเราน่ารักน่าเอ็นดูมีเสน่ห์ โดนยิ้มใส่ทีนึงก็ใจหายแล้ว ในขณะที่สาวญี่ปุ่นก็สวยเซ็กซี่เอาใจเก่ง
เป็นตัวของตัวเองสูงปรี๊ดชวนให้หลงใหล สรุปก็คือมีดีต่างกัน
ผมแค่ชอบทั้งสองแบบเท่านั้นเอง ผมไม่ใช่คนปิดกั้นนะ ชาติไหนก็ได้ครับ

คำถามสุดท้ายนะคะ สถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นที่อยากไปมากๆๆๆ
สถานที่ที่อยู่ในใจ
อยากพา(แฟน) ไปเที่ยวด้วยกันมากที่ซู๊ดดด

สถานที่ๆผมอยากพาแฟน หรือแฟนๆ หรือว่าที่แฟน ไปนะครับ รองจากบ้านของผมแล้วก็คงไม่พ้น โอไดบะ
โอไดบะเป็นที่ๆไม่ไกลจากโตเกียวนัก มีอะไรหลายๆอย่างให้ทำ สถานที่ช๊อปปิ้งนั้นหรูหรามาก เดินวนๆห้างอย่างเดียว
ก็โรแมนติกแล้ว แถมมีทะเลที่ลงเล่นน้ำไม่ได้  แต่ถ้าหน้าร้อนก็จะมีคนลงไปเล่น wind surf ชวนแฟนไปดูคนเท่ๆ
เผื่อเราจะดูเท่บ้าง ไม่ก็เดินจูงมือกันรอบหาด หรือนั่งเรือทัวร์ก็สนุกดี นอกจากนี้ก็ยังมีสวนสนุก sega ในร่ม
ชิงช้าสวรรค์ ฯลฯ อีกมากมาย … ใช้ชีวิตที่โอไดบะได้ทั้งวัน ไม่เบื่อเลยครับ

 

อ่านบทความของศิษย์เก่าไทยวาเซดะ ในวารสาร CJL News มหาวิทยาลัยวาเซดะ

คุณนัตตา  โชติวัชร หรือ ก้อ
ศิษย์เก่าไทยวาเซดะ หลักสูตร Day Class 1 – 5 และ หลักสูตรติววัดระดับ 2

(และ) ศิษย์เก่านักเรียนหลักสูตรภาษาญี่ปุ่น ของ Center For Japanese Language
มหาวิทยาลัยวาเซดะ ประเทศญี่ปุ่น ได้ลงบทความสัมภาษณ์นักเรียนชาวต่างชาติ
ในวารสาร CJL News ซึ่งเป็นวารสารที่เผยแพร่บทความและกิจกรรมสำหรับนักเรียนต่างชาติ

ชื่อบทความ : คือความทรงจำตลอดไป

คือความทรงจำตลอดไป

เมื่อวันที่ 21 มีนาคม  ปีพุทธศักราช 2553 ฉันเดินทางออกจากกรุงเทพมหานคร
แล้วเริ่มต้นทำตามความฝันของตนเอง …
ในขณะที่ยังไม่แน่ใจเลยว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร ฉันก็เดินทางมาถึงสนามบินนาริตะเสียแล้ว

ความฝันของฉันเกี่ยวข้องอย่างไรกับญี่ปุ่นน่ะหรือ
จุดประสงค์ที่ฉันเดินทางมาญี่ปุ่นนั้นเป็นเพราะความตั้งใจที่จะเข้าโรงเรียนทำอาหารที่ชื่อ “ซึจิ”
ตอนเด็ก ๆ ทุกคนคงอยากเป็นหมอหรือเป็นครู แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้นเลย
ฉันมีความฝันที่อยากจะเป็นเชฟ อยากเปิดร้านอาหารของตนเอง
แต่ว่าการที่จะทำความฝันให้เป็นจริง จะต้องเรียนภาษาญี่ปุ่นเสียก่อน
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ฉันตัดสินในเรียนภาษาญี่ปุ่นที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ

แน่นอนว่า จุดประสงค์อันดับแรกคือพัฒนาความสามารถภาษาญี่ปุ่น แต่การเรียนที่มหาวิทยาลัย
วาเซดะไม่ใช่แค่พัฒนาภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น  แต่มีเรื่องราวที่อยู่ในความทรงจำมากมาย
เช่น บรรยากาศการเรียน ความรู้ที่ได้รับจากคณาอาจารย์ และเพื่อน ๆ จากหลากหลายประเทศ
ฉันรู้สึกว่าดีที่มีเพื่อนจากหลายประเทศเป็นจำนวนมาก เวลาที่พูดคุยกับทุกคน
ฉันจะไม่ใช้ภาษาอังกฤษ  ฉันพยายามจะพูดภาษาญี่ปุ่นให้มากที่สุด
ถึงจะไม่เข้าใจทุกคำ แต่ก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะใช้ภาษาญี่ปุ่น

หากนึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา บางครั้งก็ส่งการบ้านและรายงานในเวลาเฉียดฉิว
บางครั้งเวลาที่พูดรายงานต่อหน้าคนก็รู้สึกเขินอาย หัวใจแทบหยุดเต้น
แต่ว่าตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ได้หัวเราะ บากบั่น และร้องไห้กับเพื่อน ๆ
สำหรับฉันแล้ว มันสนุกมากและเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่า

เมื่อภาคการศึกษานี้สิ้นสุดลง   ฉันก็จะลาจากอาจารย์ที่ให้การดูแลมาตลอดหนึ่งปีเต็ม
รวมทั้งเพื่อน ๆ ที่พยายามเรียนมาด้วยกัน  และเริ่มต้นเดินต่อไปบนเส้นทางของฉันเอง
แต่ฉันจะรักษาความทรงจำหนึ่งปีอันมีค่านี้ไว้ตลอดไป

 

แนะนำนักเรียน : กรี จิระเกียรติวัฒนา (ช้าง)

สวัสดีครับ ผมชื่อ  กรี จิระเกียรติวัฒนา ชื่อเล่น ช้าง
จบปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ภาคอินเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครับ

ได้ข่าวล่าสุด ทราบมาว่าคุณช้างสอบผ่านหลักสูตรเชฟของโอเรียลเต็ล
ทำไมถึงตัดสินใจจะเรียนเชฟที่โอเรียลเต็ลล่ะคะ

ก่อนหน้านี้ผมทำงานเป็นผู้ช่วยเชฟแบบจ้างเป็นรายวันน่ะครับ เพราะว่าผมไม่ได้จบด้านการทำอาหารมาโดยตรง
ก็เลยคิดว่าจะไปเรียนทำอาหารให้เป็นเรื่องเป็นราว หลักสูตรเชฟก็จะเริ่มเรียนเดือนสิงหาคมนี้แล้วครับ
เรียนตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ ทำให้ชนกับการเรียนภาษาญี่ปุ่นที่วาเซดะ
คิดว่าคงจะต้องดร๊อปเรียนที่วาเซดะไปสัก 1 ปีเลยล่ะครับ อาจจะทำให้ลืมภาษาญี่ปุ่นไปเลยก็ได้

แล้วทำไมถึงเลือกเรียนภาษาญี่ปุ่นที่วาเซดะ
ผมตั้งใจจะไปเรียนต่อด้านการทำอาหารที่ญี่ปุ่นน่ะครับ แต่เท่าที่ศึกษาข้อมูลมา
เห็นว่าต้องมีพื้นฐานความรู้ภาษาญี่ปุ่นระดับ 2 ครับ เลยต้องเรียนภาษาญี่ปุ่นเตรียมไว้

สถาบันการเรียนทำอาหารที่เลือกไว้คือที่ไหน
ตอนนี้ก็มองเอาไว้ที่สถาบันฮัตโตริครับ อยู่ในกรุงโตเกียว
เป็นสถานที่เดียวกับที่ออกรายการเชฟกะทะเหล็กน่ะครับ

สอบเข้าเรียนที่โอเรียลเต็ลเป็นยังไงบ้าง ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย
ก็มีทั้งข้อสอบข้อเขียน การฟังครับ ผมว่าข้อสอบง่ายนะ ง่ายรุนแรงเลยล่ะครับ
เนื้อหาเกี่ยวกับอาหารนิดหน่อย แล้วก็มีสอบสัมภาษณ์ด้วยครับ
ถามทั้งภาษาไทยแล้วก็ภาษาอังกฤษครับ

อยากเป็นเชฟ แล้วทำไมถึงเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ล่ะ
พอดีผมเป็นรุ่นแรกที่ทำข้อสอบแบบ O-net A-net ตอนนั้นคิดเอาไว้แล้วว่าระบบมันต้องมั่วมากแน่ๆ ครับ
ประกอบกับยังไม่รู้ว่าอยากจะเรียนอะไร แต่ก็คิดว่าอยากเรียนภายใต้ชื่อ “จุฬาฯ” ไว้ก่อน
แล้วก็คิดว่าเรียนเศรษศาสตร์น่าจะมั่นคงครับ นอกจากนี้ผมยังสนใจเรื่องหุ้นด้วย
แต่ถ้าให้ลงลึกถึงเรื่องบัญชีผมก็ไม่ชอบเหมือนกันล่ะครับ ผมไม่ชอบงานที่ต้องนั่งโต๊ะนานๆ ด้วย
คิดว่าถ้าต้องทำงานแบบนั้น ไม่เกิน 3 ปีคงต้องเลิกทำแน่นอน
ถ้าเลือกได้ก็อยากทำอาหารครับ น่าสนุก และรู้สึกว่าเป็นเกียรติที่ได้ทำครับ

มีเหตุผลอื่นไหมว่าทำไมถึงต้องเลือกไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น
มีครับ เพราะผมชอบสาวญี่ปุ่น (ตอบได้ตรงประเด็นชัดเจนมาก)
คือพอดีผมมีเพื่อนที่มีแฟนเป็นคนญี่ปุ่น เลยลองมาเปรียบเทียบกับคนไทย
ในทัศนคติส่วนตัวของผม ผมคิดว่าผู้หญิงญี่ปุ่นเค้า nice แต่สาวไทยบางคนก็ดีนะครับ
แต่ผมชัดเจนครับว่ามีสเป็กเป็นสาวญี่ปุ่น

แล้วเซนเซที่วาเซดะน่ารักไหมจ๊ะ
น่ารักดีครับ

เรียนที่วาเซดะเป็นอย่างไรบ้าง
ดีครับ ชอบครับ ตื่นเช้ามาก็อยากมาเรียนทุกวัน
คือปกติถ้าไม่มีการบ้านผมก็ไม่อ่านหนังสือนะ แต่พอมีการบ้านก็เท่ากับเป็นการบังคับให้ทบทวนไปในตัวครับ

ที่บ้านสนับสนุนการเรียนทำอาหารไหมคะ
คุณพ่อก็ให้อิสระเต็มที่ครับ พอดีที่บ้านผมทำงานด้านตัวเลขกันหมดเลยด้วย
แต่ที่จริงคุณพ่อผมก็อยากเปิดร้านอาหาร ท่านก็เลยสนับสนุน
ส่วนตัวผมก็ตั้งใจจะไปกอบโกยประสบการณ์จากสถาบันการเรียนทำอาหารดีๆมีคุณภาพมาให้มากที่สุดครับ

ตอนเด็กๆ เคยฝันอยากเป็นอะไร
ตอนม.ต้น อยากเป็นผู้กำกับครับ เพราะคิดว่าเป็นการสร้างผลงานศิลปะ
แต่พอตอนม.ปลายอยากเป็นนักดนตรีครับ เคยมีวงของตัวเองด้วย ผมตีกลองครับ
ตอนมหาลัยก็เล่นในวงเหมือนกันเคยมีคนให้ไปร้องนำด้วยแต่ผมชอบตีกลองมากกว่านะ
มันสนุกและได้อารมณ์มากกว่า

ชอบดูการ์ตูนไหม
ปกติไม่ชอบดูการ์ตูน เคยอ่านอยู่เรื่องเดียวและชอบมากเลยก็คือ การ์ตูนเรื่อง วันพีชครับ

เคยไปญี่ปุ่นไหมคะ
เคยไปเที่ยวกับเพื่อน แล้วก็ไปเที่ยวกับครอบครัวครับ ผมชอบโตเกียวมากที่สุด
มีครั้งหนึ่งเคยไปทัวร์ออนเซ็นหลายที่เหมือนกัน แต่ที่จำได้ก็มีเซนไดครับ
ตอนลงบ่อครั้งแรกรู้สึกร้อนครับ รีแลกซ์ดี แต่ผมไม่เขินนะ
พอไปโตเกียวก็ไปดื่มสาเกกับพี่ชาย มีสาวญี่ปานนั่งดริ๊งมานั่งเป็นเพื่อนด้วย 2 คน
ชื่อ มิกิ กับ โมโกะ (จำได้แม่นเชียวนะ)
ถือเป็นแรงบันดาลใจในการมาเรียนภาษาญี่ปุ่นอีกอย่างหนึ่งของผมเลยนะครับ (จุดยืนชัดเจน)

“แรงบันดาลใจ”ที่ว่า หมายความว่ายังไงคะ
หมายความว่าคุยกันไม่รู้เรื่องครับ เลยอยากเรียนภาษาญี่ปุ่น
อยากพูดได้ สื่อสารกันได้คุยด้วยได้ครับ

อาหารญี่ปุ่นที่ชื่นชอบ
ชอบซูชิ ซาชิมิ พวกปลาดิบ หอยแมลงภู่ครับ

สมมุติว่าภารกิจการหาแฟนสาวชาวญี่ปุ่นสำเร็จ
จะทำอาหารเมนูใดให้เธอรับประทาน

โอวว … ผมจะทำให้เธอรับประทานทุกวันเลยครับ อยากจะกินอะไรขอให้บอก
าเป็นอาหารไทยก็น่าจะเป็นส้มตำครับ ส่วนใหญ่คนญี่ปุ่นจะชอบส้มตำ
จะตื่นเต้นกับส้มตำมากเป็นพิเศษ หรือไม่ก็พวกอาหารอีสานครับ

บอลโลกปีนี้เชียร์ทีมอะไร
อาร์เจนตินาครับ

ฝากอะไรถึงคนที่จะเรียนภาษาญี่ปุ่นบ้างคะ
อยากรู้อะไรถามผมก็แล้วกันครับ changkree@hotmail.com (เฉพาะสาวๆเท่านั้นนะจ๊ะ)

 

ศิษย์เก่าวาเซดะส่งข่าวมาจากก้นครัว ณ โอซาก้า

คุณนัตตา  โชติวัชร หรือ ก้อ
ศิษย์เก่าวาเซดะ หลักสูตร Day Class 1 – 5 และ หลักสูตรติววัดระดับ 2
ส่งข่าวและภาพบรรยากาศห้องเรียนวิชาทำอาหาร ณ โรงเรียนสอนทำอาหารซึจิ  – 辻調理師専門学校 เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น  ซึ่งเป็นสถาบันสอนทำอาหารที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในวงกว้าง

” … โรงเรียนที่ก้อเรียนอยู่ตอนนี้เป็น โรงเรียนสอนทำอาหารค่ะ ชื่อ โรงเรียนสอนทำอาหารซึจิ เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ http://www.tsuji.ac.jp/index.php

คอร์สที่เรียนก็มีให้เลือกหลายแบบ จะเรียนเน้นอาหารอะไร หรือจะเรียนทำขนม หรือทำขนมปัง เลือกได้หมด ซึ่งก้อเลือกเรียนคาเฟ่คลาส(ไม่ใช่พระรามเก้าคาเฟ่นะ) คือ ที่เลือกเรียนอันนี้เพราะว่า ก้ออยากเปิดร้านกาแฟ  และพอได้มาใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นก็ได้รู้ว่าคาเฟ่ของญี่ปุ่นไม่ได้ขายแค่ เครื่องดื่มกับเค้กเท่านั้น คาเฟที่ญี่ปุ่นจะขายอาหารจานเดียวที่กินได้ง่ายๆ ทั้งจีน ญี่ปุ่น อิตาลี และฝรั่งเศส ก้อก็เลยเลือกเรียนคอร์สนี้ค่ะ

การที่จะเข้าเรียนที่นี่ได้ก็ต้องมีการสอบคัดเลือกก่อนที่จะเข้าเรียน ถ้าเป็นคนต่างชาติก็ต้องผ่านการสอบวัดระดับสองก่อน แต่ว่า ก้อยังไม่ผ่านระดับสอง ก็เลยต้องมีการสอบเพื่อดูความสามารถ ความเข้าใจภาษาญี่ปุ่นก่อน เพราะว่าที่นี่เขาจะสอนเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด  ก่อนหน้านี้ก้อยังอยู่ที่โตเกียว ก็เลยต้องนั่งรถเพื่อมาสอบที่โอซาก้า เช้าเย็นกลับน่ะค่ะ
….เหนื่อยมาก……

ข้อสอบก็ไม่ยากเท่าไหร่ ถามชื่อผักผลไม้ วัตถุดิบอะไรประมาณนั้น แล้วก็มีบทความให้อ่านแล้วก็ตอบคำถาม ที่ยากคือ ตอนสอบสัมภาษณ์ แต่สุดท้ายก็ ผ่านมาได้

พอผ่านมาแล้วก็เริ่มต้นเรียน  ซึ่งที่นี่ไม่ได้เรียนทำอาหารอย่างเดียวเท่านั้น ก้อเรียนทั้งโภชนาการอาหาร กฎหมายผู้บริโภค วัตถุดิบ สุขภาพ สุขศึกษา  เยอะแยะไปหมด เพราะหากจะเรียนไปเปิดร้านก็ต้องเรียนเยอะแบบนี้แหละค่ะ



มาเรียนที่นี่ไม่เหมือนเรียนที่ โรงเรียนสอนภาษาเลย วิธีการพูด วิธีการสอนของเซนเซต่างกันโดยสิ้นเชิง เซนเซพูดเร็วมาก แล้วก็ศัพท์เฉพาะ แล้วก็แปลกๆเยอะมาก เพื่อนๆก็มีแต่เด็กๆ อายุเฉลี่ยน่าจะยี่สิบได้   ก้อแก่ไปเลยค่ะ แต่ยังโชคดีที่ไม่แก่สุด อิอิ
เดือน สิงหาคม ช่วงปิดเทอม ก้อจะกลับไทยนะคะ
พี่ๆไทยวาเซดะ และเซนเซเตรียมหูไว้ฟังเสียงหนวกหูของก้อได้เลย ฮ่ะๆๆ
… “

 

แนะนำนักเรียน : มณีรัตน์ คงอินทร์ – นุ่น

มณีรัตน์ คงอินทร์ หรือ นุ่น ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ Day Class 3 จบปริญญาโทด้าน MBA จากไต้หวันค่ะ เพิ่งกลับมาเมืองไทยปีที่แล้วค่ะ

ทำไมถึงไปเรียนที่ไต้หวันคะ
เพราะอยากได้ภาษาจีนค่ะ ก่อนหน้านี้นุ่นเคยเรียนภาษาจีนมาก่อน เรียนแบบเรียนพิเศษน่ะค่ะ อยากได้ภาษาจีนแบบจริงจัง เลยคิดว่าไปเรียนต่อโทด้วยเลยก็แล้วกัน

เหตุผลที่ตัดสินใจมาเรียนภาษาญี่ปุ่น
ชอบทางด้านภาษาค่ะ รู้สึกชอบมาตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว เพราะชอบซีรี่ยส์  ชอบฟังเพลง ตอนนั้นก็ตั้งใจจะเรียนอยู่แล้วแต่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย คือพยายามจะเรียนด้วยตัวเอง ซื้อหนังสือมาอ่านเอง แต่ด้วยความที่ไวยากรณ์ภาษาญี่ปุ่นยาก ไม่เหมือนภาษาของเรา เลยคิดว่าจะเรียนปริญญาโทให้จบก่อนแล้วค่อยมาตั้งใจเรียนทีหลังดีกว่าค่ะ

พอมาเรียนจริงๆ แล้วคิดว่าภาษาญี่ปุ่นเป็นอย่างไรบ้าง
ภาษาญี่ปุ่นมีข้อละเอียดอ่อนเยอะ จุกจิกในเรื่องของการใช้ ความยากอย่างแรกคือรูปแบบประโยคต่างๆ และการออกเสียง นอกจากนี้ความยากของภาษาญี่ปุ่นทำให้เรียนรู้ไม่ได้เร็วเท่าที่คิดไว้ ทั้งๆที่นุ่นมีพื้นฐานภาษาจีนมาแล้ว ต้องฝึกฝนให้มากๆ ค่ะ

นุ่นเรียนภาษาญี่ปุ่นได้คะแนนดีมาโดยตลอด มีเคล็ดลับอย่างไรบ้างคะ
อันดับแรกต้องตั้งใจเรียนในห้อง นุ่นเองไม่ใช่คนขยันอ่านหนังสือตลอดเวลา ดังนั้นการเรียนในห้องจะได้ฟังเซนเซ และได้รู้ว่า Sense ของคำศัพท์หรือไวยากรณ์ที่เรียนมาใช้ในสถานการณ์ไหนได้บ้าง นอกจากนี้ พอเลิกเรียนแล้วนุ่นจะชอบทำการบ้านอยู่ที่โรงเรียน พอมีเรื่องไม่เข้าใจก็ถามเซนเซ หรือปรึกษากับเพื่อนได้ ถ้ามีโอกาสก็พยายามคุยกับอาจารย์ให้มากๆ เพราะว่าอยู่เมืองไทยก็ไม่ได้มีโอกาสใช้ภาษาญี่ปุ่นมากเท่าไหร่

เรียนมาตั้งแต่ Day 1 มาจนถึง Day 3 … นุ่นเคยขาดเรียนบ้างไหม
ตั้งแต่เรียนมายังไม่เคยขาดเรียนเลยแม้แต่วันเดียว ยังไม่มีความจำเป็นอะไรที่ทำให้ต้องขาดเรียนค่ะ

คิดว่าภาพพจน์ของคนญี่ปุ่นเหมือนหรือแตกต่างกับที่เราคิดไว้อย่างไรบ้างคะ
รู้สึกว่าใกล้เคียงกับที่คิด คือเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตัว สุภาพ อย่างเซนเซหลายท่านก็เป็นกันเอง คิดว่าเป็นข้อดีของโรงเรียน ไม่คิดว่าคนเป็นครูกับนักเรียนจะมีโอกาสได้สื่อสารกันมากขนาดนี้ค่ะ เวลาที่มีคำถามก็สามารถถามได้อย่างสะดวกใจ ส่วนเซนเซก็พยายามให้การช่วยเหลือตอบคำถามอย่างเต็มใจ ทำให้นักเรียนรู้สึกดีว่าคนญี่ปุ่นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เรียนแล้วไม่รู้สึกเครียดค่ะ

คิดว่าจะเรียนไปถึงระดับไหนคะ
คิดว่าจะเรียนจนจบ Day 3 เพราะตัวนุ่นเองเรียนมานานแล้ว ไม่เคยทำงานเลย พอเรียนจบปริญญาตรีก็เรียนต่อปริญญาโท แล้วก็มาเรียนภาษาต่ออีก คิดว่าด้วยวัยก็ควรทำงานได้แล้ว คิดว่าอยากจะหางานที่เกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่น แต่ถ้าสภาพเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย ก็อาจจะเรียนภาษาญี่ปุ่นต่อค่ะ

อยากทำงานด้านไหนคะ
อยากทำเกี่ยวกับ Marketing หรือการขาย อยากทำงานที่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นเพราะถ้าไม่ได้ใช้ภาษาที่เรียนมาอาจจะลืมทั้งหมด ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ก็จะพยายามหางานที่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นให้ได้มากที่สุดค่ะ

คิดว่าทักษะใดในภาษาญี่ปุ่นที่ยากที่สุด
การพูคค่ะ เพราะว่าไวยากรณ์ค่อนข้างซับซ้อน มีคำที่มีความหมายคล้ายกันแต่ใช้ในต่างสถานการณ์เยอะมาก ต้องอาศัยความเคยชินถึงจะทำให้รู้ว่าคำไหนใช้ในสถานการณ์ใด นอกจากนี้คนญี่ปุ่นยังพูดเร็วด้วยค่ะ

ตอนเด็กๆ ใฝ่ฝันอยากเป็นอะไร
ตอนเด็กๆ อยากเป็นหมอ เพราะเรียนสายวิทย์มา แต่สุดท้ายจังหวะที่ต้องเลือกเรียนตอนมัธยมปลาย รู้สึกว่าชอบสายศิลป์มากกว่า คิดว่าน่าจะได้ใช้ในการทำงานมากกว่าค่ะ

เรียนมาแล้วกี่ภาษาคะ
เรียนภาษาอังกฤษ จีน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น แล้วก็เรียนเกาหลีมานิดหน่อยค่ะ

เท่าที่เรียนมาทั้งหมด ชอบภาษาอะไรมากที่สุด
ถ้าชอบที่สุดในการใช้งานคือภาษาอังกฤษค่ะ เพราะใช้ได้คล่อง เรียนมาตั้งแต่เด็กมีโอกาสได้ใช้มากกว่าเลยรู้สึกคุ้นเคย แต่ภาษาอื่นรู้สึกสนุกในการใช้มากกว่า เช่นภาษาอังกฤษเรียนมา 10 ปี อาจได้ใช้ส่วนที่เรียนมาแค่ 2 ปี แต่ภาษาจีน ฝรั่งเศส สมมติว่าเรียนมา 100 คำ ก็ได้ใช้ 80 คำ หรืออย่างภาษาญี่ปุ่น เรียนมาแค่ 6 เดือนแต่พูดได้ขนาดนี้ก็คิดว่าสนุกแล้วค่ะ

สถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นที่อยากไปมากๆ
นุ่นชอบเที่ยววัดค่ะ ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นเกียวโต ดูมีวัฒนธรรมชัดเจน  อยากไปเกียวโตค่ะ

อยากไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นไหมคะ
อยากค่ะ อยากเรียนด้านภาษาศาสตร์เรื่องที่มาของภาษาค่ะ

ฝากอะไรถึงคนที่กำลังเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่
คนที่เรียนอยู่อยากให้มาเรียนให้ครบ อย่าขาดเรียน เพราะเมื่อไหร่ที่ขาดเรียนแล้วจะตามไม่ทัน มีโอกาสมากที่จะไม่อยากมาเรียนอีกเลย ถ้าไม่มา 1 ครั้ง จะไม่ได้เรียนเรื่องการใช้ไวยากรณ์บางตัว อาจทำให้นำไปใช้ไม่ได้ อีกอย่างคือเรียนเร็วมาก ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ อยากให้อ่านเตรียมบทเรียนมาก่อน ถ้ามีเวลาก็อยากให้คุยกับเซนเซเยอะๆ เซนเซจะได้รู้ว่าจุดไหนที่นักเรียนไทยไม่เข้าใจจะได้ปรับปรุงแก้ไข และเข้าใจเซ้นต์ของภาษาไทยมากขึ้นค่ะ

 
 

กล่าวสุนทรพจน์ 5-04-2010

วันจันทร์ที่ 5 เมษายน เป็นวันสุดท้ายที่นักเรียนมาเรียนภาษาญี่ปุ่นที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ นักเรียนจึงต้องกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับประสบการณ์ในญี่ปุ่น ซึ่งนักศึกษาชาวญี่ปุ่นที่มาเป็นอาสาสมัครแลกเปลี่ยนก็เข้าร่วมฟังด้วย พร้อมทั้งกระตือรือล้นในการตั้งคำถามกันมากเลยครับ

 

เดินเล่นในโตเกียว 3 (ยานากะ) 3-04-2010

หลังจากไปฮาราจูกุ คราวนี้พวกเราก็นั่งรถไฟ JR สายยามาโนะเทะ ไปลงที่สถานีนิปโปริใกล้กับอุเอะโนะ แล้วเดินจากสถานีไปยังถนนสายช้อปปิ้งที่ชื่อยานากะกินซะ (谷中銀座) ที่นี่มีการเก็บรักษารูปแบบถนนหนทางแบบดั้งเดิมเมื่อหลายสิบปีก่อนเอาไว้ ถ้าเปรียบเทียบกับเมืองไทย ก็ประมาณอัมพวาล่ะครับ

วันนี้มีไกด์รายวันมาช่วยนำทางให้ ชื่อคุณจิ๊ป เป็นนักเรียนเก่าที่จบจากโรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ ปัจจุบันกำลังทำวิจัยอยู่ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว และที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่คุณจิ๊ปแนะนำมาครับ

อันที่จริงแล้วคุณจิ๊ป อาศัยอยู่ใกล้ๆ กับบริเวณยานากะกินซะมาได้ 2 ปีแล้ว เนื่องจากทีมวิจัยของคุณจิ๊ปศึกษาเรื่องข้อดีของสิ่งก่อสร้างแบบดั้งเดิม ว่าสามารถดำรงอยู่ในสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างปัจจุบันได้อย่างไร สามารถอยู่อาศัยไปพร้อมกับศึกษาเรียนรู้ได้ ถือว่าเป็นสภาพแวดล้อมที่ยอดเยี่ยมไปเลยนะครับ

การเปลี่ยนแปลงในยุคนี้เป็นไปอย่างเข้มข้น รุนแรงมาก จนมีแนวโน้มว่าต้องติดตามสิ่งใหม่ๆ ให้ทันให้ได้นะครับ อย่างไรก็ดี เนื่องจากที่เป็นยุคสมัยที่มีลักษณะดังกล่าว ทำให้มีคนให้ความสนใจกับของเก่าที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้เวลาจะผ่านล่วงเลยไป อาจเป็นเพราะเข้าใจถึงความสำคัญของมันที่จะสืบสานไปยังคนรุ่นหลัง ดังนั้น จึงเป็นสาเหตุให้สถานที่อย่างยานากะกินซะและอัมพวา ที่อยู่ทั้งในญี่ปุ่น หรือในไทยกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากคนหนุ่มสาวกระมังครับ

พอดูจากภาพถ่ายแล้ว “ราวกับเวลาหยุดนิ่ง” ในใจกลางกรุงโตเกียว แค่ได้รู้สึกว่ามีถนนที่สามารถพักผ่อนหย่อนใจได้ก็ดีใจแล้วล่ะครับ

แล้วนักเรียนล่ะ มีความประทับใจอะไรกันบ้าง?

… ไก่ย่าง โคโร๊กเกะ ยากิโซบะที่ขายในถนนสายช้อปปิ้งอร่อยงั้นเหรอ?

ผมเอง นอกจากถ่ายภาพแล้ว ส่วนใหญ่ก็เดินหาของอร่อย ซึ่งก็เป็นความสนุกอีกประการหนึ่งของยานากะกินซะครับ ส่วนของแนะนำ คือ “คะรินโท” ขนมแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ปกติแล้วคะรินโทจะทอดในน้ำมัน แต่เฉพาะของที่นี่เท่านั้นที่สามารถรับประทาน “คะรินโทย่าง” แสนอร่อยได้ครับ http://www.hanakomichi.net/

สมแล้วล่ะครับที่ญี่ปุ่นมีสุภาษิตว่า “花より団子” (はなよりだんご) ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่าลูกชิ้นดีกว่าดอกไม้ หรือกินได้ดีกว่าสวยอย่างเดียวครับ

 

แนะนำนักเรียน : จุง – อาชัญ จารุศิลาวงศ์

อาชัญ จารุศิลาวงศ์ หรือ จุง อยู่ DAY 2 จบมัธยมปลายจากโรงเรียนกรุงเทพเตียน จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ คณะศิลปศาสตร์ธุรกิจอังกฤษ ตอนนี้อายุ 25 ปี

นอกจากที่วาเซดะแล้ว จะมีโอกาสเจอน้องจุงได้ที่ไหนคะ
เซ็นทรัลเวิร์ล แถวคิโนะคุนิยะ หรือไม่ก็มาบุญครองครับ (แต่นานๆ ไปที)

งานอดิเรกของน้องจุงคือสิ่งนี้
อ่านหนังสือ แล้วก็ดูสารคดีครับ

ชอบอ่านหนังสือประเภทไหน
และรายการสารคดีในทีวีที่มักกดรีโมทไปดูเป็นประจำ

ชอบอ่านหนังสือนิยายภาษาอังกฤษ แนวแฟนตาซี ส่วนสารคดีก็ชอบ Discovery แนวประวัติศาสตร์และเทคโนโลยีครับ

ทำไมถึงมาเรียนภาษาญี่ปุ่น
ก่อนหน้านี้เคยทำงานบริษัทนำเข้าการ์ตูนมาทำDVD และ VCD ทำหน้าที่ตรวจ Subtitle ครับ ก็เลยอยากมาเรียนภาษาญี่ปุ่นเพราะมันเกี่ยวข้องกับงานของเราอยู่แล้ว

ตอนทำงานสนุกไหมคะ
ถ้าพี่ชอบดูการ์ตูน แผ่นหนึ่งดูสัก 6 รอบ ก็คงจะสนุกครับ

เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมาก่อนไหมคะ
เคยเรียนตอนป. 5 ที่จริงตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย ตอนแรกเรียนเอกภาษาญี่ปุ่น แต่มีปัญหากับภาษาญี่ปุ่นตัว 2 ก็เลยย้ายไปเรียนเอกภาษาอังกฤษครับ

มาเรียนที่วาเซดะ เป็นอย่างไรบ้าง
ยากครับ เรียนหนักกว่าทำงานอีก การบ้านเยอะ เนื้อหาเยอะ แต่เซนเซสอนดี เป็นมิตรกับนักเรียนดีครับ เมื่อก่อนเคยเรียนสมัยอยู่ป. 5 เรียนวันเสาร์-อาทิตย์ แต่รู้สึกว่ามันไม่ค่อยเวิร์ก เลยออกมาเรียนทุกวันดีกว่า

บรรยากาศในห้องเรียน
คึกมาก เพื่อนๆ กลมเกลียวกันดี แต่เดี๋ยวจบเทอมนี้ก็ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นกันหลายคน ก็คงเงียบๆ ไปบ้างครับ

คิดว่าจะเรียนภาษาญี่ปุ่นถึงระดับไหนคะ
ตามแผนเดิมคิดว่าจะเรียนจนจบ DAY 5 ครับ

ในการเรียนภาษาญีปุ่น สิ่งไหนที่ยากที่สุด
คิดว่าไวยากรณ์ยากที่สุด ก็ทุกภาษาแหละครับ มีกฎไม่เหมือนกันต้องจำอย่างเดียว ส่วนที่คิดว่าง่ายที่สุด คิดว่าเป็นการฟังครับ

อยากใช้ภาษาญี่ปุ่นทำงานอะไรคะ

ก็คิดว่าจะใช้ทำงานแปลที่บริษัทเก่านะครับ แปลการ์ตูนญี่ปุ่น

ตอนเด็กๆ อยากเป็นอะไรคะ

อยากเปิดร้านขายของเล็กๆ ครับ

ปกติเห็นน้องจุงเงียบๆ ที่จริงแล้วเป็นคนยังไงคะ

ปกติก็เงียบๆ ล่ะครับ

 
Leave a comment

Posted by on 03/19/2010 in student Talk

 

ศิษย์เก่าแวะมาเยี่ยมโรงเรียน


จิ๊ป : ปริญญา ณรงค์ธนรัฐ
ศึกษาวิจัยระดับปริญญาโท คณะวิศวกรรมศาสตร์
ภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยโตเกียว

จั๊มป์ : เทียนไท กีระนันทน์
ศึกษาระดับปริญญาโท คณะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ประยุกตร์
ภาควิชาสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยวาเซดะ

ตาล : สารัตถิกา สินธุภิญโญ
ศึกษาภาษาญี่ปุ่น ณ ศูนย์ภาษาญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยวาเซดะ

แมน
: ณัฐธวล เนินลพ
ศึกษาภาษาญี่ปุ่น ณ ศูนย์ภาษาญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยวาเซดะ

ก่อนอื่นกรุณาระบุระยะเวลาในการอยู่อาศัย ณ ประเทศญี่ปุ่นของแต่ละคน

จั๊มป์ : 1 ปีครึ่งครับ

จิ๊ป : 1 ปีครึ่งครับ

แมน : 1 ปี 3 เดือนครับ

ตาล : 1 ปีค่ะ

อยู่ญี่ปุ่นมานานคิดว่ามีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองบ้างไหมคะ

จิ๊ป : เริ่มทำตัวเป็นคนญี่ปุ่นมากขึ้น ซึมซับทัศนคติของคนญี่ปุ่น เหมือนถูกบังคับทางสังคม ให้ทำตัวเหมือนคนรอบข้าง เช่นเรื่องทิ้งขยะ ความเป็นระเบียบ พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ต้องทำตามกฎมหาวิทยาลัยด้วยครับ

แมน : ก็ คล้ายๆ กันครับ ต้องอยู่ในกรอบหลายอย่าง ถ้าไม่ทำตามอาจโดนมอง ยิ่งไปเจอคนฝรั่งที่อยู่ในญี่ปุ่นยิ่งเห็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมชัดเจนมากขึ้น เช่นเรื่องการกิน คนยุโรปจะกินข้าวไม่ได้ ปรับตัวยากกว่าคนเอเชียครับ

ตาล : เหมือนจิ๊ป ชีวิตอยู่ในกรอบ และระเบียบอย่างรุนแรง เช่น ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือบนรถไฟ หรือแค่คุยกันเองก็ไม่ได้จะถูกมองทันทีค่ะ

จั๊มป์ : ถ้าจะสื่อสารกันต้องใช้เมสเสจ เป็นสังคมที่เหมาะกับการใช้บีบีมาก

ตาล : คนญี่ปุ่นรักษามารยาทมากๆ ถ้าใครใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงดังออกมาข้างนอก ก็จะถูกตำหนิ อีกอย่างคือคนญี่ปุ่นรักษาเวลา คนโตเกียวจะเย็นชาไม่ค่อยสนใจกัน ไม่ค่อยคุยกัน แต่คนต่างจังหวัดอย่างโอซาก้าจะคุยจะสนใจคนอื่นมากกว่า นอกจากนี้ พอไปอยู่ญี่ปุ่นทำให้อยู่คนเดียวได้ จากที่ไม่เคยอยู่คนเดียวมาก่อนเลยค่ะ

จั๊มป์ : เรื่องรักษาเวลามากขึ้นนี่ไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ครับ สังคมญี่ปุ่นในห้องแล๊ปก็จะแตกต่างไปเลย ผมว่าไม่ใช่คนญี่ปุ่นไม่สนใจคนอื่น แต่บางทีแค่ตัวเองยังเอาไม่รอดเลยครับ ในแต่ละวันต้องรับผิดชอบชีวิตหนักมาก การได้ไปญี่ปุ่นทำให้แข็งแกร่งมากขึ้น เหมือนได้ยืนด้วยลำแข้งตัวเอง ไม่มีคนช่วย ไม่มีคนสนใจ เรียนแบบตัวใครตัวมัน อย่างเรื่อง就職活動(กิจกรรมหางาน) ของญี่ปุ่นแต่ละปีก็จะมีพีเรียดเดียวเท่านั้น คือคนญี่ปุ่นเขาจะหางานล่วงหน้ากันเป็นปี ต้องเตรียมตัวแย่งงานกัน ถ้าหาไม่ได้ก็จะไม่มีงานทำครับ

ไปญี่ปุ่นแล้วมองเมืองไทยเปลี่ยนไปไหม

จิ๊ป : มีบ้างครับ เมื่อก่อนเห็นแต่เรื่องไม่ดีของไทย อย่างเรื่องรถติด แต่พอไปญี่ปุ่นกลับมาแล้วคิดว่าคนไทยนี่ก็ดีนะ ไม่เย็นชา โทรศัพท์ที่ไหนก็ได้ อีกเรื่องคือตื่นตัวกับฤดูกาลมากขึ้น ว่าฤดูนี้ต้องทำอะไร เวลาดูทัวร์ ต้องดูให้เข้ากับฤดูกาล เช่นฤดูใบไม้ผลิไปดูซากุระ ฤดูหนาวไปเล่นสกี เรื่องอาหารก็ต้องกินตามฤดูกาล แต่พอลองกินนอกฤดู ผมว่ามันก็อร่อยเหมือนกันนะ

จั๊มป์ : เมื่อก่อนนี้ ผมขับรถใจร้อน ด่าไปทั่ว พอไปญี่ปุ่นกลับมาแล้วคิดว่า แค่เรื่องขับรถไม่เห็นต้องเครียดเลย ซีเรียสน้อยลงมาก อีกอย่างคือรู้สึกว่าบีทีเอสที่เมืองไทยโล่งมาก แท็กซี่ก็ราคาถูกมาก รถเมล์ก็ดีขึ้นตรงไหนก็ได้ เวลาเดินขึ้นบันไดคู่รักเดินจับมือกัน ยืนเป็นคู่ออกันก็ได้ สบายมากๆ ที่จริงความเป็นระเบียบมันก็เป็นเรื่องดีนะครับ แต่ถ้ามากไปมันก็ไม่ใช่มนุษย์

ตาล : จริงค่ะ บีทีเอสเมืองไทยแต่งหน้าก็ได้ เมืองไทยมีผักให้กินตลอดปี ถูกด้วย รถไฟญี่ปุ่นนี่มีคนกระโดดให้รถทับตายรายวัน ไม่รู้ทำไมชอบโดดตอน 4 ทุ่ม ทำให้รถไปไม่ได้ พอเที่ยงคืนรถไฟก็หมดอีก เวลาไปเรียน ไปทำงานคนญี่ปุ่นจะรีบมาก ขึ้นบันไดต้องหลบซ้าย แต่คนไทยไม่มีการหลบ ไปสายก็สายไม่เป็นไรค่ะ

แมน : อยู่ที่ความเคยชินครับ พอมาเมืองไทยต้องคิดเองมากขึ้น เช่น บีทีเอสจะมากี่โมง อีกอย่างอยู่ที่ญี่ปุ่นจะสนใจเรื่องฤดูกาลมากขึ้น ต้องดูพยากรณ์อากาศทุกเช้า ที่ญี่ปุ่นพยากรณ์อากาศแม่นด้วยครับ

จั๊มป์ : ใช่ๆ เพราะญี่ปุ่นไม่มีกันสาดเหมือนบ้านเรา ดังนั้นต้องดูพยากรณ์อากาศไม่งั้นอาจเปียกได้

แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวกันหน่อย

แมน : ไปฮอกไกโด ผมเคยไปตอนฤดูร้อน แต่อากาศดีประมาณ 20 องศา ไปดูการทำเกษตร ทำสวน ไปพักโฮมสเตย์ ได้คุยกับเจ้าของบ้านแล้วก็นักท่องเที่ยวที่ไปพัก เจ้าของบ้านเขาสนใจคนต่างชาติเหมือนกัน เขามีการทำแฟ้มประวัติจดไว้เป็นเล่มๆ อาหารก็ทำกันเอง รู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติ และวิถีชีวิตมากๆ แล้วเขาก็แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่มีในไกด์บุ๊คให้ด้วย นอกจากนี้ก็มีชนเผ่าไอนุ ชนเผ่าโบราณของญี่ปุ่น ข้าวของก็เยอะมากมาย มีทั้งทุ่งหญ้าและทะเล สวยมากครับ ชอบมาก

ตาล : ชอบแถบคันไซ ชอบเกียวโต นารา ชอบวัด วัดสวยมาก คือวัดญี่ปุ่นจะไม่เหมือนของไทย เหมือนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมากกว่า วัยรุ่นก็ชอบไปเที่ยว อีกอย่างโตเกียวจะรักษาชุดประจำชาติได้ดีมาก ยังมีไมโกะ มีเกอิชาอยู่ เมืองสวย มีความเป็นญี่ปุ่นสูง เหมาะกับชาวต่างชาติที่อยากเห็นญี่ปุ่นจริงๆ ส่วนตัวชอบวัดคิโยมิสึ พราะสวยแบบไม่ต้องประดิษฐ์มากเกินไป ชอบไม้ ชอบธรรมชาติ อยู่ในป่าด้วย ส่วนวัดทองก็สวยนะ แต่เหมือนผ่านการประดับตกแต่งแล้ว แล้วไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ค่ะ

จั๊มป์ : ฟุกุโอกะครับ แต่ควรเป็นคนที่เคยไปโตเกียวแล้ว เพราะทุกอย่างเหมือนโตเกียว แต่ช้ากว่า ไม่รีบ คนไม่เยอะ เดินสบาย ข้าวของเหมือนกัน สาวๆ ก็แต่งตัวเก่ง มีจุดที่สามารถไปเที่ยวได้เยอะ โรแมนติกด้วย มีสีสัน วัฒนธรรมก็หลากหลาย ที่สำคัญคือสนามบินใกล้เมืองมากครับ (จะใกล้ไปไหน)

จิ๊ป : แนะนำโอโนมิจิครับ เป็นเมืองเล็กๆในฮิโรชิมา ฮวงจุ้ยดี หน้าเป็นทะเลหลังเป็นภูเขา มีสุสานเยอะดีครับ อารมณ์เดียวกับปายของบ้านเรา มีศิลปินย้ายไปอยู่เยอะ เพื่อไปทำงานศิลปะ โรแมนติกด้วย ชาวบ้านก็ทำงานเล็กๆ สบายๆ ร้านขายของก็น่ารักครับ

อยากมีแฟนเป็นคนญี่ปุ่นไหม

จิ๊ป : คนญี่ปุ่นที่สวยก็มีครับ แต่ผมไม่รู้จัก ที่รู้จักไม่ค่อยมีแบบที่ชอบ แล้วแต่คนนะ ผมว่าผู้หญิงญี่ปุ่นมีแบบแผนในการใช้ชีวิตมากเกินไป เช่น เรียนจบก็ทำงาน แต่งงาน พออายุ 27-28 ก็ต้องแต่งงาน ถ้าอายุ 28 แล้วยังไม่ได้แต่งงานจะรู้สึกผิด ผู้หญิงญี่ปุ่นกังวลกับเรื่องนี้มาก ถ้าถามว่าสวยไหม ผู้หญิงตามถนนที่เห็นสวยๆ แต่พอกลับบ้านล้างหน้าแล้วไม่รู้จะสวยรึเปล่า คือแต่งตัวมาก ไม่เป็นตัวของตัวเอง ยกเว้นพวกคุณแม่ยังสาวที่สวยมากๆ (คนดีๆ มักมีเจ้าของหมดแล้ว)

จั๊มป์ : ผู้หญิงญี่ปุ่นน่ารำคาญ พยายามแอ๊บตลอดเวลา ภาษาญี่ปุ่นจะมีตัวคันจิที่เป็นตัวผู้หญิง 3 ตัวเรียงกันแล้วแปลว่าน่ารำคาญ เสียงดัง (姦しい) ถามว่าสวยไหม ก็ยอมรับว่าเขาโครงหน้าดีกว่าบ้านเรา แต่งง่าย ไม่เหมือนคนไทยที่ต้องปรับเยอะ แต่งตัวเก่งไหม ก็เก่ง แต่ถ้าบ่อยๆ มันก็ซ้ำซาก น่าเบื่อ เหมือนแต่งตัวตามแม็กกาซีน

แมน : คล้ายๆ พี่จิ๊ป ไม่จีบครับ ไม่ใช่สเป็ก ต้องดูนิสัยก่อน คงจะมองจากคนญี่ปุ่นโดยรวมด้วยแหละ เครียด มีแบบแผน อยู่กับตัวเอง ชีวิตของฉันก็ของฉัน ของคุณก็ของคุณ คือไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจเราได้ไหม

ตาล : ไม่ชอบอย่างแรง ผู้ชายญี่ปุ่นดู Bossy บ้าอำนาจ ฉันใหญ่ตลอดเวลา เป็นเจ้านายตลอด เป็นภรรยาเหมือนเป็นทาส อีกอย่างไม่ชอบ Salary man เลย ไม่มีน้ำใจ เวลาผู้หญิงกับผู้ชายขึ้นรถไฟมาด้วยกัน ผู้ชายจะนั่ง ให้ผู้หญิงถือของให้ เปิดประตูให้ ผู้ชายญี่ปุ่นไม่สุภาพ ไม่อ่อนโยน ไม่โรแมนติกค่ะ


เคยไปออนเซ็นรวมไหม

จิ๊ป : เคยไปแบบที่มีฝากั้นหญิง-ชาย ผมลงบ่อครับ เคยไปกับคนญี่ปุ่น 2 ครั้ง ลงกับคนไทยด้วยกันก็เคยครับ

จั๊มป์ : คนญี่ปุ่นเปิดเผยดี พอเขาถามว่าเคยมาไหม ถามแล้วก็ถอดเลย ไม่สนใจคำตอบเราเลย มองไปอีกทีเสื้อผ้ากองเป็นเลขแปดแล้ว แต่ไม่เครียดครับ พอถอดแว่นผมก็มองไม่เห็นอะไรแล้ว ก็คลำๆเอา

แมน : เคยไปที่ฮอกไกโด ออนเซ็นติดทะเล คุยกันให้ดูเห็นๆ แบบชุ่ยมากครับ

ตาล : ไม่เคยลง เพราะไปกับเพื่อนคนไทย ถ้าไปกับคนญี่ปุ่นอาจจะลงก็ได้ค่ะ

 
2 Comments

Posted by on 03/16/2010 in student Talk, THAI WASEDA

 

แนะนำนักเรียน : แจ็คกี้ เมธาวัฒน์ พรทศพล

แจ็คกี้ครับ ชื่อจริงชื่อ เมธาวัฒน์ พรทศพล จบปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาบริหารรัฐกิจ วิชาโท Human Resource ของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีครับ

ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีด้วยที่สอบระดับ 2 ผ่านแล้ว ข้อสอบเป็นอย่างไรบ้าง
ข้อสอบยากมากครับ ยากกว่าทุกปีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป ส่วนที่ยากที่สุดคือการอ่าน มีเรื่องยาวเยอะ และจำนวนข้อเยอะ เนื้อหาเยอะ ไวยากรณ์เริ่มที่ข้อ 25 ต่างจากทุกปีที่จะเริ่มที่ข้อ 19-20

มีเทคนิคในการทำข้อสอบอย่างไรบ้างคะ
เตรียมตัวโดยเน้นที่คันจิ และคำศัพท์ เพราะส่วนนี้ทำให้เก็บคะแนนได้มาก และก็จะส่งผลถึงการอ่านด้วย เพราะถ้าเรารู้คันจิ ถึงจะไม่รู้ความหมายที่แน่นอนแต่ก็พอจะเดาได้ การฟัง ก็ฟังบ่อยๆ ฟังเพลง ดูละครญี่ปุ่น และพยายามจับใจความ ส่วนไวยากรณ์ ถ้าอ่านไปก็จะทำได้เลยโดยไม่ต้องคิดนาน อย่างส่วนไวยากรณ์กับการอ่านจะอยู่ด้วยกัน ให้รีบทำไวยากรณ์เก็บคะแนนก่อน แล้วเวลาที่เหลือให้ทำการอ่าน เพราะเนื้อหาเยอะอาจทำให้ทำไม่ทัน อีกอย่างคือเนื้อหาค่อนข้างเป็นเชิงประยุกต์ ต้องใช้ความคิดไม่ใช่หาคำตอบได้จากเนื้อเรื่องโดยตรงครับ

เท่าที่ได้สัมผัสมาแจ็คกี้เป็นคนที่พูดประโยคภาษาญี่ปุ่นได้อย่างถูกต้อง สละสลวยมาก มีวิธีการฝึกฝนอย่างไรคะ
ก่อนอื่นต้องมองว่ามันไม่ใช่เรื่องยาก เพราะถ้าเราคิดว่ามันยากจะทำให้เราเรียนไม่ได้ และควรมีความชอบ จะทำให้เรียนได้ดีขึ้น จากนั้นก็ต้องฝึกพูดบ่อยๆ หาเพื่อนคนญี่ปุ่น อย่างแจ็คเองก็มีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นครับ

ไปหาเพื่อนคนญี่ปุ่นมาจากไหนล่ะ
หาจาก J-education คือเขาจะมีการจัด Free Talk คุยกับคนญี่ปุ่น ซึ่งจะจัดเดือนละครั้ง พอคุยกันสนิทแล้วก็อาจจะมีการนัดกินข้าว ขอเบอร์โทรศัพท์ ส่วนใหญ่คนญี่ปุ่นที่มาก็เป็นคนที่เรียนภาษาไทย ก็อยากพูดกับคนไทยอยู่แล้ว ก็ถือว่าแลกกัน ได้ฝึกภาษาทั้งสองฝ่ายครับ ที่สำคัญคือต้องกล้าพูด อย่ากลัวผิดครับ

แจ็คกี้เรียนที่วาเซดะคอร์สไหนบ้าง
Day 4, Day 5 และ DayJP2 ครับ

การเรียนการสอนที่วาเซดะเป็นอย่างไรบ้างคะ
การเรียนการสอนมีระบบ ทำให้กระตือรือร้น เซนเซมีความแม่นยำ มีการบ้านเยอะ เข้มงวดทำให้นักเรียนใช้ภาษาญี่ปุ่นอย่างถูกต้อง ตอนแรกๆ รู้สึกว่าการบ้านเยอะมาก ไม่ชอบ แต่พอทำไปแล้วจะได้รู้ว่าตัวเองทำผิดตรงไหน เป็นการทบทวนไปในตัว และเวลาที่ทำการบ้านหรือแบบฝึกหัด เซนเซก็จะไม่บอกทุกอย่าง เพื่อให้นักเรียนคิด พยายามแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อน ถ้าไม่ได้จริงๆ ถึงจะช่วย หรือให้คำแนะนำครับ

แล้ววิธีการสอนของเซนเซล่ะ
เซนเซแต่ละคนมีเทคนิคไม่เหมือนกัน ทำให้เรียนสนุก กระตือรือร้น และไม่เห็นภาษาญี่ปุ่นเป็นเรื่องยาก เพื่อนๆ ในห้องที่ถนัดกันคนละอย่างก็คอยช่วยเหลือกันครับ

อนาคตอยากทำอะไร
ตอนแรกอยากเป็นล่ามครับ แต่หลังจากที่ได้คุยกับหลายๆ คน ก็คิดว่าถ้าไม่มีประสบการณ์ทำงานมาก่อนไปเป็นล่ามจะกดดันมาก ก็เลยอยากทำอย่างอื่นแทน อย่างด้าน HR, Sales หรือ Management เพราะจะทำให้เราได้ Skill ด้านอื่นเพิ่มนอกจากภาษา เพื่อเป็นประโยชน์ในการทำงานในอนาคตครับ

ฝากถึงคนที่เรียนภาษาญี่ปุ่นหน่อยได้ไหมคะ
อย่าคิดว่าภาษาญี่ปุ่นเป็นเรื่องยาก เพราะถ้าคิดว่ายากมันก็จะยาก ถ้าคิดว่าง่ายมันก็จะง่ายครับ

 
Leave a comment

Posted by on 03/15/2010 in student Talk

 

แนะนำนักเรียน : ซุง เมธี อิรนพไพบูลย์

เมธี อิรนพไพบูลย์ หรือ ซุง เรียนอยู่  DAY 1
จบปริญญาตรีจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาไฟฟ้า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครับ

ซุงก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้รับทุนรัฐบาลญี่ปุ่น
ใช่ครับ ได้รับทุนรัฐบาลญี่ปุ่นไปเรียนปริญญาโทและปริญญาเอกที่ University of Tokyo คิดว่าจะเรียนด้านระบบวิศวกรรมไฟฟ้าควบคุมทั้งปริญญาโทและเอกครับ โดยจะเดินทางไปญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนเมษายนนี้ แต่ต้องไปเรียนภาษาก่อน 6 เดือนครับ

ทำไมถึงเลือกไปประเทศญี่ปุ่น
เพราะญี่ปุ่นเป็นผู้นำเรื่องระบบไฟฟ้าควบคุมในโรงงาน ส่วนประเทศทางยุโรปก็มีเยอรมัน แต่ผมชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่นมากกว่า ก็เลยเลือกไปญี่ปุ่นครับ นอกจากนี้ญี่ปุ่นมีบุคลากรด้านวิศวกรรม อาจารย์ที่มีความสามารถมาก ก็เลยอยากจะศึกษาจากคนเก่งๆ ครับ

ชอบวัฒนธรรมอะไรของญี่ปุ่นคะ
ชอบลักษณะการทำงานของคนญี่ปุ่นครับ ชอบการมอง การใช้ชีวิต
และความคิดแบบตะวันออกครับ

คิดว่าทำไมญี่ปุ่นถึงเก่งด้านวิศวกรรม และเทคโนโลยี
เพราะระบบการทำวิจัย มหาวิทยาลัย และบริษัทเอกชนมีความใกล้ชิดกันมาก เวลาที่นักวิจัยหรือมหาวิทยาลัย ทำวิจัยหรือคิดค้นอะไรออกมาได้ บริษัทก็สามารถนำไปใช้ได้เลย อีกทั้งอาจารย์ยังถูกประเมิน และถูกกดดันให้หาแหล่งเงินทุนทำวิจัยด้วยตนเอง ทำให้ต้องทำวิจัยในเรื่องที่มีประโยชน์ คุ้มค่า เอาไปใช้ได้จริง ในขณะที่เมืองไทยงานวิจัยทำออกมามักไม่ได้ถูกนำไปใช้ครับ

เรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นอย่างไรบ้าง
ก็พยายามเรียนให้เต็มที่ เพื่อจะเอาไปใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด พอต้องไปเรียนที่ญี่ปุ่นอีก 6 เดือน ก็คงต้องพยายามมากขึ้นอีก ถึงแม้ว่าอาจารย์จะบอกว่าใช้ภาษาอังกฤษได้ แต่เมื่อมีโอกาสได้ไปเรียนที่ญี่ปุ่น ก็อยากจะเรียนภาษาญี่ปุ่นให้เต็มที่ครับ

มีคำแนะนำอะไรให้กับคนที่สนใจจะสอบทุนรัฐบาลญี่ปุ่นไหม
ที่จริง ผมก็เคยสอบไม่ผ่านเหมือนกัน เมื่อ 2 ปีก่อนตอนที่เพิ่งเรียนจบ ก็เลยออกไปทำงานหาประสบการณ์ 2 ปี แล้วมาสมัครใหม่ สิ่งสำคัญคือต้องมีความตั้งใจ มุ่งมั่นครับ

ประสบการณ์การทำงานมีประโยชน์ในการสอบบ้างไหม อย่างไร
มีประโยชน์ครับ เพราะสาขาที่จะไปเรียนต่อตรงกับงานที่เคยทำมา ตอนที่สอบสัมภาษณ์ทุน กรรมการมีทั้งคนที่ทำงานแล้ว และอาจารย์ คนสัมภาษณ์ต้องการหาคนที่ตั้งใจอยากไปเรียนต่อจริงๆ และต้องมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่จะทำวิจัย ไม่ใช่มีเป้าหมายลอยๆ ครับ

นอกจากไปเรียนแล้ว อยากทำอะไรที่ญี่ปุ่นบ้าง
อยากไปเที่ยวให้ทั่วญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะ อยากศึกษาวัฒนธรรมและความคิดของคนญี่ปุ่นครับ

กังวลอะไรบ้างไหม
กังวลทุกเรื่องครับ แต่ที่กังวลมากที่สุดคือเรื่องวัฒนธรรม กลัวว่าจะทำอะไรให้เซนเซไม่พอใจครับ

ตอนเด็กๆ อยากเป็นอะไรคะ
ตอนเด็กๆ ชอบดาราศาสตร์ แต่แม่ถามว่าจบมาจะทำงานอะไร ประเทศไทยยังไม่มีอะไรรองรับมากนัก ก็เลยมาเรียนวิศวะครับ

คิดว่าวิศวกรที่ดี ควรเป็นอย่างไรคะ
ถ้าเป็นวิศวะที่ดีต่อบริษัท ก็คือวิศวกรที่ทำกำไร ทำงานให้บริษัทได้เยอะที่สุด แต่ถ้าเป็นวิศวกรที่ดีในแง่ของตนเองคือเป็นคนที่เสนอ Solution ที่ดีที่สุดในการสร้างอะไรสักอย่างครับ

หลังจากเรียนจบตั้งใจจะทำอะไรคะ
จบแล้วคงจะกลับมาทำงานที่เมืองไทย ถ้าประเทศชาติอยากให้ช่วย หรือมีอะไรที่จะสามารถนำความรู้ทางวิศวกรรมที่เรียนมาไปพัฒนาได้ก็ยินดีที่จะทำครับ

 
4 Comments

Posted by on 03/09/2010 in student Talk

 

แนะนำนักเรียน : พีช อพิชญ์สิรี ติระบริสุทธิ์



อพิชญ์สิรี ติระบริสุทธิ์ หรือ พีช
อยู่ DAY 3 ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 2
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ค่ะ

ทราบมาว่าได้ทุนไปแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นใช่ไหมคะ
ใช่ค่ะ ได้รับทุนไปแลกเปลี่ยน 1 ปีที่ Meiji Gakuin University กรุงโตเกียวค่ะ ไปเรียน Global Study Program เป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษค่ะ

ชื่อหลักสูตรน่าสนใจ ไม่ทราบว่าเรียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง
มีหลากหลายวิชาให้เลือกเรียนค่ะ ตั้งแต่วิชาทั่วไปจนถึง วิชาแปลกๆ เช่น ชงชา หรือวาดภาพสีน้ำมันค่ะ

แล้วจะได้เรียนภาษาญี่ปุ่นบ้างไหมคะ
ได้เรียนค่ะ แต่ไม่มาก ประมาณสัปดาห์ละ 2 ครั้งค่ะ

ทุนที่ได้เป็นทุนอะไร และครอบคลุมอะไรบ้างคะ
เป็นทุนแลกเปลี่ยนของทางมหาวิทยาลัยค่ะ ก็จะได้สิทธิ์พักในหอพักของมหาวิทยาลัยโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตอนนี้ก็กำลังขอทุนของ JASSO อยู่ค่ะ เผื่อจะได้ทุนค่าใช้จ่ายรายเดือน

เป็นนักศึกษาอยู่แล้วทำไมถึงเรียน DAY COURSE ได้ล่ะ
เทอมนี้ดร๊อปเรียนที่มหาวิทยาลัยค่ะ เพราะว่าเรียนหลักสูตรอินเตอร์
เวลาเรียนไม่ตรงกับปกติค่ะ

แล้วทำไมถึงเลือกไปญี่ปุ่นค
ชอบญี่ปุ่นค่ะ และมีทุนให้ด้วย

ที่บ้านสนับสนุนให้ไปเรียนต่างประเทศไหมคะ
สนับสนุนค่ะ เป็นห่วงแต่ก็อยากให้ลูกลองไปใช้ชีวิตดูค่ะ

เคยไปใช้ชีวิตในต่างประเทศบ้างไหมคะ แล้วมีเพื่อนไปด้วยไหม
เคยไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกาตอนม.4 ค่ะ โครงการ YES คล้ายๆกับ AFS ค่ะ ส่วนที่ไปคราวนี้มีเพื่อนที่มหาวิทยาลัยไปด้วย ที่จริงก็เพิ่งจะมารู้จักกันตอนได้รับทุนค่ะ

ทำไมถึงชอบญี่ปุ่น
ชอบดูละครญี่ปุ่นค่ะ อย่างเช่น Hana Yori Dango และ Tokyo Tower ค่ะ

ความใฝ่ฝันในวัยเยาว์
อยากเป็นไกด์ เป็นมัคคุเทศก์ค่ะ อยากไปเที่ยว

อยากไปเที่ยวที่ไหนของญี่ปุ่น
อยากไปเที่ยวไกลๆ จากมหาวิทยาลัยก่อนค่ะ อยากไปคิวชู เพราะว่าอาหารอร่อย เป็นเกาะ อากาศดี ส่วนที่ใกล้ๆ โตเกียว ไปเที่ยวเมื่อไหร่ก็ได้

หลังจากเรียนจบตั้งใจจะทำอะไร
อยากทำงานที่ได้ใช้ทั้งภาษาญี่ปุ่น และความรู้ทางด้านบัญชีค่ะ

อาหารญี่ปุ่นที่ชอบคืออะไร
ชอบปลาซาบะ เพราะชอบน้ำซอสค่ะ ส่วนของหวานชอบไอติมชาเขียวกับเยลลี่ค่ะ

คิดว่าถ้ามีการสร้างภาพยนตร์ชีวประวัติของพีช ใครน่าจะมารับบทเป็นพีชและพระเอกจะเป็นใครดี
คิดว่าคนที่รับบทพีชน่าจะเป็นนุ่น วรนุช เพราะว่าดูเรียบร้อย(เหมือนพีช) ส่วนพระเอกน่าจะเป็นพี่เคน ธีรเดช เพราะว่าหล่อค่ะ

ไปญี่ปุ่นคิดว่าจะกล้าลงบ่ออนเซ็นรวมไหม
ถ้าทุกคนทำก็คงต้องทำค่ะ(โจ้ ฟังไว้)

 
3 Comments

Posted by on 03/08/2010 in student Talk

 

แนะนำนักเรียน : ปลา – ปาริฉัตต์ ธเนศากร


ปาริฉัตต์ ธเนศากร
หรือ ปลา เรียนอยู่ DAY 3 จบปริญญาตรีจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้ามาเรียนที่วาเซดะตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปีที่แล้วค่ะ

ก่อนที่จะมาเรียนที่วาเซดะ เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมาก่อนไหมคะ
เคยเรียนตอนมัธยมต้น เรียนที่สนญ.มาประมาณ 1 ปีค่ะ

ทิ้งช่วงเรียนไปนานมาก ลืมบ้างไหม
ก็มีลืมบ้างค่ะ เรื่องไวยากรณ์กับการเขียน แต่เรื่องตัวอักษร การอ่าน การฟังยังพอได้ค่ะ

เรียนจบคณะสถาปัตย์ แล้วทำไมถึงมาเรียนภาษาญี่ปุ่น
คือที่จริง ไม่ค่อยถนัดเรื่องสถาปัตย์ค่ะ ก็เลยอยากทำงานเป็น Coordinator ภาษาญี่ปุ่นด้านสถาปัตย์ ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นเข้าช่วยในการติดต่องานค่ะ

เวลาว่าง ชอบทำอะไรเอ่ย
อ่านหนังสือ เล่นอินเตอร์เน็ต เข้าเว็บไซต์ภาษาญี่ปุ่น ก็เลยทำให้ไม่ลืมคำศัพท์และตัวหนังสือค่ะ

เป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับอะไรคะ
เป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับการถ่ายรูป ซึ่งจะมีไดอารี่ของเว็บมาสเตอร์  ก็จะชอบเข้าไปอ่าน แล้วก็เก็บไปถามเพื่อนที่เก่งภาษาญี่ปุ่นว่าเราเข้าใจถูกหรือไม่ อย่างไรค่ะ

มาเรียนที่วาเซดะได้อย่างไร
มีเพื่อนแนะนำมาค่ะ เพื่อนเคยเรียนอยู่ที่นี่เมื่อประมาณ 4-5 ปีก่อน ตอนนี้ได้ทุนไปเรียนที่ APU (Ritsumeikan Asia Pacific University) แล้วก็ได้งานทำที่โตเกียวค่ะ

วางแผนการเรียนภาษาญี่ปุ่นในอนาคตไว้อย่างไรบ้าง
เดือนเมษายนนี้กำลังจะไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นค่ะ ที่ Japan College of Foreign Languages ตอนแรกคิดว่าจะไปเรียนวิชาเฉพาะทาง(専門) แต่ต้องใช้พื้นฐานความรู้ภาษาญี่ปุ่นระดับ1-2 ก็เลยไปเรียนภาษาก่อนค่ะ แล้วค่อยเรียนต่อวิชาเฉพาะทาง อยากเรียนสาขาล่าม หรือไม่ก็การแปลค่ะ

ฝันอยากเป็นอะไรคะ
ด้วยความที่เป็นคนชอบอ่านหนังสือ ก็เลยอยากเป็นนักแปล แต่ในเมืองไทยการแปลยึดเป็นอาชีพได้ยากมาก เพราะค่าตอบแทนน้อย คิดว่าคงต้องหางานประจำค่ะ แล้วใช้เวลาว่างทำงานแปลเป็นอาชีพเสริม

อยากแปลงานประเภทไหนคะ
อยากแปลวรรณกรรมเยาวชนค่ะ

นักเขียนชาวญี่ปุ่นในดวงใจ
ชอบมิยาเบะ มิยุกิค่ะ แต่ไม่ได้ชอบผลงานแนวลึกลับสอบสวนของเขานะคะ แต่ชอบผลงานวรรณกรรมเยาวชนของเขาค่ะ นอกจากนี้ก็ชอบผลงานวรรณกรรมเยาวชนของ ฮายามิเนะ คาโอรุ กับอาซาโนะ อะสึโกะ ด้วยค่ะ

อยากทำงานที่ญี่ปุ่นบ้างไหม
ก็อยากลองหางานทำดูเหมือนกันค่ะ

นอกจากไปเรียนแล้ว คิดว่ามีอย่างอื่นที่อยากไปทำที่ญี่ปุ่นอีกไหมคะ
ส่วนตัวชอบดูการ์ตูนค่ะ เห็นว่าที่ญี่ปุ่นมีงานอีเวนต์ด้านนี้เยอะ ก็เลยอยากลองไปดูค่ะ

ฝากอะไรถึงคนที่เรียนภาษาญี่ปุ่นหน่อยได้ไหมคะ
ที่วาเซดะทุกคนเรียนจริงจังมาก คนที่จะเข้ามาเรียนภาษาญี่ปุ่นน่าจะตั้งใจเรียน เพราะถ้าเรียนผ่านๆไปจะไม่ได้อะไรเลย เซนเซตั้งใจสอนมาก ดังนั้นคนที่ตั้งใจเรียนจะได้ความรู้แน่นอน นอกจากนี้ต้องอาศัยความสนใจ ความชอบในระดับหนึ่ง เพราะถ้าไม่มีความชอบ หรือความสนใจ พอเรียนไปสักระยะจะเกิดความรู้สึกไม่อยากทำ ฟังพูดอะไรก็จะไม่เข้าใจไม่รู้เรื่องค่ะ

 
2 Comments

Posted by on 03/05/2010 in student Talk

 

เรียนภาษาญี่ปุ่นจากบทเพลงวงSMAP


คุณอรพินท์ ปทุมมณีสุข หรือ พี่อ้อย นักเรียนหลักสูตรภาคค่ำ  แฟนพันธุ์แท้ อีกท่านหนึ่งของวาเซดะ ที่เรียนมาตั้งแต่คอร์ส BC1 จนถึงคอร์ส BCI2 ในปัจจุบัน ได้เอื้อเฟื้อแปลบทเพลง そっときゅっと ของหนุ่มๆ วง SMAP มาให้ผู้ที่สนใจภาษาญี่ปุ่น สนใจหนุ่มหล่อวง SMAP ได้ลองฟัง และศึกษาภาษาญี่ปุ่นจากบทเพลงกัน ซึ่งแม้เจ้าตัวจะบอกว่าชอบแปลเพลงเล่นๆ เป็นงานอดิเรก แต่จากฝีไม้ลายมือในการแปล การใช้คำ และความสอดคล้องกับอารมณ์เพลง ต้องขอชมเชยค่ะ ว่ากลมกล่อมลงตัวเป็นอย่างยิ่ง  ทางโรงเรียนจึงขอขอบคุณพี่อ้อยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ และขอขอบคุณนิชิกาวาเซนเซ และคุณทาคาฮาชิ ที่ให้การแนะนำ ปรึกษาอีกด้วยค่ะ

そっときゅっと

大切な 大切な キミがそばにいて

มีเธอ เป็นคนสำคัญที่สุดอยู่ใกล้ๆ

ありふれた毎日が カラフルになる

ในทุกๆ วันที่น่าเบื่อ ก็จะสดใส มีสีสันขึ้นมา

傘の中 ふたりして 耳をすましてる

เราอยู่ในร่มคันเดียวกัน เงี่ยหูฟัง

雨音を 歌にして 晴れ間を呼んでる

เสียงสายฝน และจินตนาการเป็นบทเพลง เพื่อพร่ำเรียกแสงทองยามฝนหยุดพรำ

立ち止まり 静かに待ってみたりとか

ลองยืนคอยเงียบๆ อยู่นิ่งๆ ดูซิ

新しい自分がいて 戸惑うけれど

ผมเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน ละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก

そっと キミの手を握りしめる そっと きゅっと

แต่ก็ได้จับมือเธอ อย่างอ่อนโยน ทนุถนอม และแนบแน่น

ただ キミの手が握りかえす そっと きゅっと

ขอเพียงแค่ มือเธอ จับตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน และแนบแน่นเท่านั้น

時は繰り返すことなく 流れ去るものなら

ถ้าหากปล่อยเวลาให้ผ่านพ้นไป จะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมได้อีก

今キミがそばにいること それは そう奇跡だ

ในขณะนี้ เมื่อมีเธออยู่ข้างๆ นั้นดั่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์

いたずらな 神様が キミを連れてったら・・・

ถ้าหากมีเทพเจ้าแสนซน แกล้งพาตัวเธอไปล่ะ

そんなこと 考えて とても怖くなる

เมื่อคิดอย่างนั้นแล้ว ก็เกิดกลัวขึ้นมาจับใจ

笑わせてみようと おどけてみたり

ผมมาทำท่าตลกๆ เพื่อยั่วให้เธอยิ้ม

慣れてない自分がいて 可笑しくなるよ

ผมไม่ชินกับตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย  มันแปลกๆ ยังไงอยู่นะ

そっと キミの瞳を見つめてみる そっと ずっと

ผมจ้องมองตาเธออย่างอ่อนโยนและเนิ่นนาน

その まなざしは ボクの奥の 闇を てらす

สายตาคู่นั้น ทำให้มุมมืดในตัวผมสว่างไสว

少し寄り道をしていこう ゆっくり帰ろうよ

ค่อยๆ เดินช้าๆ กลับบ้านเถอะ แวะเดินเล่นตามทางไปเรื่อยๆ กันเถอะนะ

ありふれた今日も やがては 思い出の粒だよ

วันนี้ที่แสนจำเจ ในไม่ช้าก็จะเป็นแค่ความทรงจำเล็กๆ เท่านั้นเอง

キミの手を握りしめる そっと きゅっと

ผมจับมือเธอ อย่างอ่อนโยน ทนุถนอม และแนบแน่น

また キミの手が握り返す そっと きゅっと

มือเธอ จับตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน และแนบแน่นอีกครั้ง

時は繰り返すことなく 流れ去るものなら

ถ้าหากปล่อยเวลาให้ผ่านพ้นไป จะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมได้อีก

今キミがそばにいること それは そう奇跡だ

ในขณะนี้ เมื่อมีเธออยู่ข้างๆ นั้นดั่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์

 
11 Comments

Posted by on 03/05/2010 in song, student Talk, Variety

 

แนะนำนักเรียน : กิฟท์ ลักษมี ทิพยะวัฒน์


ลักษมี ทิพยะวัฒน์
หรือ  กิฟท์ เรียนอยู่ DAY 3 จบปริญญาตรีจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตอนนี้กำลังเตรียมตัวศึกษาต่อระดับปริญญาโท ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์บริหาร มหาวิทยาลัยโอซากา

ได้รับทุนใช่ไหมคะ
ใช่ค่ะ ได้รับทุนรัฐบาลญี่ปุ่นผ่านทางมหาวิทยาลัยโอซากาค่ะ

แล้วได้ทุนนี้มาได้อย่างไรคะ
ตอนแรกก็ปรึกษาอาจารย์ค่ะ อาจารย์ก็เลยแนะนำให้ไปติดต่อที่ศูนย์มหาวิทยาลัยโอซากาตรงอโศกโดยตรงค่ะ มหาวิทยาลัยก็ทำการคัดเลือกจากเอกสารแล้วก็สอบสัมภาษณ์ผ่านทาง Video Conference ค่ะ

ทุนครอบคลุมอะไรบ้างคะ
ก็ได้รับเป็นรายเดือนค่ะ เดือนละ 1.5 แสนเยน ให้ไปบริหารการใช้จ่ายเองค่ะ แล้วก็ได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียนจนกว่าจะเรียนจบ เป็นเวลา 2 ปีค่ะ ทุนไม่มีข้อผูกมัด ไม่ต้องใช้ทุนเมื่อเรียนจบค่ะ

พอจะบอกได้ไหมว่าตอนสัมภาษณ์ถูกถามอะไรบ้าง
ถามว่าทำไมถึงอยากไปเรียนที่ญี่ปุ่น คิดว่าไปแล้วจะได้อะไร คาดหวังอะไร อยากทำงานที่ญี่ปุ่นไหม ประมาณนี้ค่ะ

แล้วทำไมถึงอยากไปญี่ปุ่นล่ะคะ
เพราะญี่ปุ่นมีเทคโนโลยีก้าวหน้า อุปกรณ์การเรียนและสิ่งแวดล้อมสามารถสนับสนุนให้เรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และกิฟท์เคยทำงานที่บริษัทญี่ปุ่นมา 2 ปีกว่า ได้เห็นการบริหารที่ดีของญี่ปุ่น ก็เลยอยากเรียนที่ญี่ปุ่นค่ะ โดยเฉพาะสาขาที่จะไปเรียนได้เรียนทั้งเทคโนโลยีและการบริหารค่ะ

จะไปเรียนแล้ว มีเรื่องอะไรที่กังวลบ้างไหมคะ
กังวลมากค่ะ เพราะตั้งใจว่าเรียนจบแล้วจะทำงานที่ญี่ปุ่น เลยกังวลว่าถ้าได้งานที่ดีมากๆ จะทำถึงเมื่อไหร่ ไม่อยากจะห่างกับครอบครัวนานๆค่ะ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าถ้างานที่ญี่ปุ่นดีมากจริงๆ ก็จะทำให้สามารถช่วยเหลือทางบ้านได้ค่ะ

มีสถานที่ไหนที่อยากจะไปให้ได้บ้างไหมคะ
อยากไปสัมผัสวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นจริงๆ อยากไป Homestay ที่ใกล้ชิดธรรมชาติ อยากไปดูสิ่งก่อสร้างที่สวยงาม อยากกินอาหารญี่ปุ่นอร่อยๆค่ะ (อาหารญี่ปุ่นอร่อยมาก)

ดูจากสาขาที่จะไปเรียนแล้วท่าทางจะยากน่าดูเลยนะคะ ไม่ทราบว่ามีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
ตอนนี้ก็ตั้งใจเรียนอยู่ค่ะ นอกเหนือจากนั้นก็หาหนังสือมาอ่านเอง แล้วก็ต้องฝึกภาษาอังกฤษด้วย เพราะว่าตอนเรียนจะเรียนเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ต้องทำงานส่งเป็นภาษาอังกฤษค่ะ

ปกติเวลาว่างทำอะไรคะ
เล่นอินเตอร์เน็ต นอน แล้วก็ทำการบ้านค่ะ (การบ้านเยอะมาก)

ตั้งแต่มาเรียนภาษาญี่ปุ่นที่วาเซดะ คิดว่ามีพัฒนาการขึ้นบ้างไหม อย่างไรคะ
มีแน่นอนค่ะ เมื่อก่อนทำงานที่บริษัทไทยโอบายาชิ และตอนนั้นก็มีเซนเซจากวาเซดะไปสอนที่บริษัทตอนเย็น อาทิตย์ละ 2 ครั้ง  ครั้งละ 2 ชั่วโมง ก็พอได้บ้าง แต่พอมาเรียนเดย์คอร์สก็เริ่มพูดภาษาญี่ปุ่นได้มากขึ้นแบบก้าวกระโดด เพราะได้เรียนมากขึ้น และต่อเนื่องมากกว่า โดยเฉพาะสำหรับคนที่ตั้งใจเรียน คิดว่าได้ผลแน่นอนค่ะ

มีอะไรอยากฝากให้คนที่อยากได้ทุนบ้างไหมคะ
สำหรับคนที่เกรดไม่ได้ดีมาก อยากให้ลองไปถามอาจารย์ดูนะคะว่ามีทุนอะไรบ้างไหม เพราะส่วนใหญ่อาจารย์จะรู้จักคนเยอะ รู้จักทุนเยอะ จะได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนต่อได้ดีมากๆ อีกอย่างคือที่จริงแล้ว ทุนมีอยู่มากมายค่ะ แต่อยู่ที่ว่าเราจะหาเจอรึเปล่าเท่านั้นเองค่ะ

ฝากอะไรถึงคนที่เรียนภาษาญี่ปุ่น
ภาษาญี่ปุ่นคิดว่าเป็นสิ่งจำเป็นไม่ใช่เฉพาะแต่ในสายงานวิศวะ แต่ยังจำเป็นกับสายงานอื่นๆ ด้วย อยากให้ทุกคนตั้งใจเรียนให้มากๆ ต้องให้เวลากับการเรียน ผลถึงจะออกมาดีค่ะ

 
2 Comments

Posted by on 03/04/2010 in student Talk

 

แนะนำนักเรียน : โจ้ ชัมพูนท์ อัครอภิโภคี

ชัมพูนท์ อัครอภิโภคี หรือ โจ้ อยู่ DAY 4 เป็นคนเรียบร้อย เงียบๆ เพื่อนไม่เยอะ แต่มีน้ำใจ ขี้อาย รักเด็กด้วย ตอนนี้โสด เบอร์โทรศัพท์ 089 -922-9741
E-mail : jo_hotmale@hotmail.com จบม.ปลายจากโรงเรียนสารสาสน์เอกตรา หลักสูตร Bilingual (ไทย-เขมร) จบปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาออกแบบและผลิตยานยนต์ หลักสูตรนานาชาติครับ

มีประว้ติอาชญากรรมไหมคะ
ไม่มีครับ

รหัสขึ้นต้นด้วย 46 แสดงว่าเรียนที่วาเซดะมานานแล้ว
ทำไมถึงเรียนนานซะขนาดนี้ล่ะ

ผมเป็นแฟนคลับวาเซดะครับ ผู้ปกครองเป็นคนพามาสมัครเรียนที่นี่มานานมาก เป็นคอร์สวันเสาร์ประมาณ 7 คอร์ส ภาคค่ำ 1 คอร์ส แล้วก็เดย์คอร์สอีก 2 คอร์สครับ (เรียนมาขนาดนี้ยังไม่ได้เสื้อวาเซดะสักตัว) (แหม  มีตัดพ้อต่อว่า)

ใช้เวลาในการเรียนภาษาญี่ปุ่น (มาตั้งนาน) คิดว่าตัวเองมีพัฒนาการอย่างไรบ้าง
แต่ก่อนไม่ได้เดิน 2 ขา ตอนนี้เดิน 2 ขาได้แล้ว (อ่ะ ล้อเล่น)  ส่วนภาษาญี่ปุ่นเมื่อก่อนพูดไม่ได้ แต่ตอนนี้ก็พูดได้มากขึ้น (พูดได้จริงๆ ไม่ได้โม๊ววว)


ว่างๆ ทำอะไรคะ

ทำใจให้ลืมเธอครับ  (ตึ่ง โป๊ะ)


เซนเซที่วาเซดะสวยสมคำร่ำลือไหมคะ

ถ้าเป็น DAY 4 ก็โอเคครับ (หล่อไม่แคร์สื่อ)


ได้ยินว่าจะไปเรียนภาษาญี่ปุ่นที่
College of Business and Communication ทำไมถึงเลือกที่นี่ล่ะ
ก็ปรึกษาเพื่อน (เอ็ม DAY 4) แล้วก็ปรึกษาตัวแทนแนะแนวการศึกษาต่อ เห็นว่าที่นี่สอนดี เข้มงวด (แต่ยังเป็นรองวาเซดะ   แอบไปดูเซนเซที่โน่นมาแล้ว ไม่น่ารักเท่าที่ไทยวาเซดะ)


คาดหวังอะไรจากการไปเรียนต่อครั้งนี้บ้างคะ

อยากมีแฟนสวยๆ สักคนสองคน (เยอะไปไหม … ท้วงติงจาก บ.ก.) แต่ถ้าจะทำอย่างนั้นได้ ก็เก่งภาษาญี่ปุ่นก่อนครับ (มันก็ต้องอย่างน๊านอ่ะน๊า)

สเปกสาวเป็นอย่างไร
แบบลีอา ดิซอน หรือไม่ก็มาเรีย โอซาวา (คนที่คุณก็รู้ว่าใคร)  (อ้าว  นึกว่าสาวญี่ปุ่นซะอีก)

จะไปญี่ปุ่นแล้วนี่  มีเรื่องที่กังวลบ้างไหม
กลัวไม่มีแฟน

มีสถานที่ที่ต้องไปให้ได้ที่ญี่ปุ่นบ้างไหมคะ
บ่อออนเซ็นรวมครับ

ถ้ามีการสร้างภาพยนตร์ชีวประวัติของโจ้ คิดว่าใครจะมารับบทโจ้ เพราะอะไร
เรนครับ เพราะว่าหน้าตาคล้ายกัน ส่วนนางเอกคิดว่าเป็นลีอา ดิซอนก็ได้ ถ้าคนไทยก็น้องแต้ว ณัฐพร

ถ้ากลับมาจากญี่ปุ่นแล้ว คิดว่าจะทำอะไรต่อ
อยากกลับมาทำงานที่ไทยวาเซดะ เพราะว่าสะดวก ใกล้บีทีเอส  ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่น และสาวๆ สวย ( ข้างล่างตรง Food Court ) (ทีมงานวาเซดะได้ทำการประชุมด่วนแล้ว  สรุปว่า …ถ้าโจ้จะมาสมัครงานที่นี่  พวกเรา ขอคิดดูก่อน … คิดนานๆๆๆๆด้วย)

มีอะไรอยากฝากถึงเซนเซหรือคนที่เรียนภาษาญี่ปุ่นบ้างไหมคะ
ฝากถึง竹山先生ว่า 愛しているよส่วนคนที่เรียนภาษาญี่ปุ่น ถ้าอยากเก่งเหมือนผม … พยายามเข้านะ

 
8 Comments

Posted by on 02/25/2010 in student Talk

 

แนะนำนักเรียน : กิ๊บ พัชรพร เจริญพานิช

วาเซดะคลับ เอ็นทรี่นี้ ขอแนะนำนักเรียน Day 2 ที่ชื่นชอบ
และมีงานอดิเรกเกี่ยวกับการแต่ง Cosplay ค่ะ

พัชรพร เจริญพานิช ชื่อเล่นชื่อ กิ๊บ ค่ะ เขียนแบบกิ๊บติดผมนะคะ เรียนอยู่ DAY 2 จบม.ปลายจากโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ จบปริญญาตรีจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ วิชาเอกการออกแบบเพื่อการแสดง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร และปริญญาโทจากคณะนิเทศศาสตร์ สาขาการบริหารธุรกิจบันเทิงและการผลิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพค่ะ

วิชาเอกการออกแบบเพื่อการแสดงนี่เขาเรียนอะไรกันบ้าง
ก็เรียนทุกอย่างค่ะ จัดแสง แต่งหน้า ทำบท ฯลฯ

แล้วทำไมถึงมาเรียนภาษาญี่ปุ่นล่ะ
อยากเรียนมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ เพราะว่าชอบการ์ตูน ชอบเกมส์  ชอบวาดรูป แต่ที่ไม่เลือกเรียนภาษาญี่ปุ่นตอนปริญญาตรีเพราะชอบทางศิลปะมากกว่า และคิดว่าตัวเองไม่ค่อยมีหัวทางภาษาเท่าไหร่ค่ะ

คาดหวังอะไรจากการเรียนภาษาญี่ปุ่น
ที่จริงตอนแรกที่มาเรียนก็ไม่ได้คิดอะไรนะคะ แต่พอมาเรียนแล้ว เห็นเพื่อนๆ มีความฝันกัน  ตัวเองก็เลยเริ่มคิดบ้าง ตอนนี้อยากใช้ภาษาญี่ปุ่นในการทำงาน อยากเป็นบรรณาธิการ ทำหน้าที่รวบรวมผลงานวาดเขียนการ์ตูน หรือช่วยให้คำแนะนำคนที่ชอบวาดการ์ตูน คนที่มีความสามารถ เพราะเด็กสมัยนี้เก่ง มีฝีมือมาก แต่ยังไม่มีคนบริหารจัดการให้มีระบบค่ะ นอกจากนี้กิ๊บยังอยากได้ภาษาที่ 3 เพราะตอนนี้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาเบสิคที่ใครๆก็พูดได้ไปแล้วค่ะ

บรรยากาศในชั้นเรียนเป็นอย่างไรบ้างคะ
สนุก มันส์มากค่ะ เพื่อนๆ น่ารัก บรรยากาศในห้องครึกครื้นเฮฮา บางครั้งออกจะมากเกินไปด้วยซ้ำค่ะ

เห็นน้องกิ๊บชอบแต่ง Cosplay ช่วยเล่าถึงที่มาหน่อยได้ไหม
อย่างที่บอกค่ะ ชอบดูการ์ตูน พอดูแล้วก็เกิดความคิดว่าอยากเป็นตัวการ์ตูนตัวนั้นตัวนี้ ซึ่งก็มีตัวที่ชอบหลายตัวนะคะ อย่างตัวที่ชอบมากๆ ก็เช่น Aisaka Taiga จากเรื่อง Taradora (とらドラ) ค่ะ

Cospaly เป็นงานอดิเรกเลยหรือเปล่า
ใช่ค่ะ ก็ถือเป็นงานอดิเรกที่ช่วยให้เราผ่อนคลาย แต่ไม่ควรหมกมุ่นมากเกินไป เพราะจะทำให้สิ้นเปลือง อย่างค่าชุดนักเรียนที่เป็นชุดกะลาสี แค่ค่าตัดไม่รวมค่าผ้าก็ประมาณ 700 บาทแล้ว

แหล่งของอุปกรณ์การตัดชุด Cosplay
ส่วนใหญ่จะซื้อผ้าที่พาหุรัดค่ะ ส่วนสถานที่ตัดก็พาหุรัด หรือไม่ก็ประตูน้ำค่ะ เวลาที่ไปตัดชุดก่อนอื่นก็ต้องมีแบบ หลังจากนั้นก็ไปซื้อผ้าให้ได้ตามสีที่ต้องการ แล้วเอาผ้ากับแบบไปทิ้งไว้ที่ร้านตัดชุดค่ะ ส่วนใหญ่กิ๊บจะเอาแบบกับผ้าไปทิ้งไว้ที่ร้านนานมาก คนตัดชุดนี่เก่งมากเลยนะคะ ทำแพทเทิร์น ทำแบบเก่งมาก ยิ่งคนที่เคยตัดชุดแดนเซอร์มาก่อนจะตัดเก่งมากค่ะ

เคยไปงาน Cosplay ที่ญี่ปุ่นบ้างไหมคะ
เคยไปค่ะ ตอนนั้นไปกับทัวร์ที่โตเกียว เป็นงาน Cosplay จัดในสวนสาธารณะ ก่อนเข้างานก็ต้องซื้อบัตรแล้วเค้าก็จะให้ติดสติ๊กเกอร์ แล้วก็เข้าชมงาน ไปถ่ายรูปได้ตามสบายเลยค่ะ ตอนนั้นกิ๊บยังพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ คนนำทัวร์เขาสอนแค่คำเดียวคือ “しゃしん”(ถ่ายรูปๆๆ)

Cosplay ในไทยกับญี่ปุ่นต่างกันมากไหม
ต่างกันมากค่ะ อย่างเรื่องสายตาของคนที่มอง ที่ญี่ปุ่นก็จะเฉยๆ เพราะทุกคนก็แต่งตัวเป็นตัวของตัวเองอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นเมืองไทยก็จะถูกมองแปลกๆ อาจเป็นเพราะ Cosplay ที่ญี่ปุ่นได้รับความนิยมมากกว่าที่เมืองไทยมากด้วย

ตั้งแต่มาเรียนที่วาเซดะ มีพัฒนาการทางภาษาญี่ปุ่นอย่างไรบ้าง
เดี๋ยวนี้เวลาฟังเพลงภาษาญี่ปุ่นก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ เวลาดูหนังญี่ปุ่นก็จะดู Sub Title ตามไปด้วยว่าเขาแปลยังไง สำนวนเหมือนกับที่ใช้ในสถานการณ์ที่เราเรียนมาหรือเปล่า

อยากได้ทุนไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นบ้างไหมคะ
อยากได้ค่ะ อยากเรียนต่อด้านบริหารธุรกิจทางศิลปะ เพราะตอนนี้โลกอยู่ในภาวะตึงเครียด ธุรกิจทางศิลปะน่าจะยังไปได้ดี แต่ในวงการนี้มีศิลปินเยอะ แต่มีผู้บริหารน้อย อีกทั้งต่างฝ่ายต่างก็ไม่เข้าใจกัน กิ๊บก็เลยอยากจะเป็นคนที่อยู่ตรงกลาง ที่บริหารได้และชอบศิลปะด้วย

ทิ้งท้ายสักนิด ฝากถึงเพื่อนๆที่กำลังเรียนภาษาญี่ปุ่น
ในระหว่างที่เรียนอยู่ อยากให้ทุกคนคิดว่าจะนำภาษาญี่ปุ่นไปใช้อะไร อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆก็ได้ ดีกว่าเรียนไปตั้งหลายปี แต่ไม่ได้ใช้ก็จะลืม อย่างน้อยก็ขอให้มีความฝัน ฝันเล็กหรือฝันใหญ่ก็ยังดีค่ะ

 
3 Comments

Posted by on 02/24/2010 in student Talk, Variety

 

แนะนำนักเรียน : ฝุ่ง อมต ชัยเกรียงไกร

อมต ชัยเกรียงไกร หรือ ฝุ่ง นักเรียน Day 3 ครับ เรียนที่วาเซดะมาได้ 5 – 6 เดือนแล้วครับ ตอนนี้ผมกำลังจะไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ Tokyo University of Technology (東京工業大学) หลักสูตร Bionics ภาควิชา Cosmetic Science ครับ หัวข้อวิจัยเป็นเรื่องการพัฒนาครีมกันแดดอนุภาคนาโน (Nanoparticle) เพราะปกติเวลาทาครีมกันแดดแล้วมันจะเป็นปื้นขาวๆ แต่ถ้าเป็นอนุภาคนาโนทาเนื้อครีมจะโปร่งใสไม่เป็นคราบครับ

หัวข้อวิจัยน่าสนใจแบบนี้ เรียนจบมาจากด้านไหน
แล้วมาเรียนภาษาญี่ปุ่นที่วาเซดะได้อย่างไร

ผมจบปริญญาตรีจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครับ สาขาเภสัชเคมี ก่อนหน้านี้เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นที่สสท.มาก่อนครับ เรียนจบเล่ม 1 แล้วอ่านเล่ม 2 เอง หลังจากนั้นก็มาสอบที่วาเซดะได้ Day 2 ที่มาเรียนที่วาเซดะเพราะมีรุ่นน้องที่โรงเรียนเดียวกันแนะนำมาครับ น้องเขาชื่อเอี๊ยว เรียนที่นี่นานมากครับ จนตอนนี้สอบวัดระดับได้ระดับ 1 แล้ว แล้วก็ได้ทุนรัฐบาลญี่ปุ่นด้วยครับ

งานอดิเรกของฝุ่ง
ผมชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป แต่งภาพ แล้วผมก็ชอบคอมพิวเตอร์มากเลยล่ะครับ เวลามีโปรแกรมใหม่ๆ ผมก็ชอบดาวน์โหลดมาลองใช้ ชอบเรียนเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์โปรแกรมโฟโต้ช๊อปด้วย

บอกเล่าเกี่ยวกับทุนการศึกษาที่ได้รับ
เป็นทุนรัฐบาลญี่ปุ่นผ่านทางสถานทูตครับ เป็นทุนไปทำวิจัย 2 ปี ระหว่างนั้นก็เตรียมสอบเข้าปริญญาโท ฝึกภาษาแล้วก็เตรียมหัวข้อวิจัย พอสอบเข้าปริญญาโทได้แล้วก็จะเปลี่ยนสถานะเป็นนักศึกษาปริญญาโท โดยทุนที่ให้ จะให้ถึงระดับปริญญาเอก หรือจะเรียนปริญญาโท 2 ใบก็ได้ครับ โดยผมจะได้รับทุนค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายอื่นๆ เดือนละ 1.5 แสนเยนต่อเดือนไปจนกระทั่งจบการศึกษาครับ สำหรับทุนการศึกษาของรัฐบาลญี่ปุ่นนี่ ก็มีหลายทุนนะครับ มีตั้ง 50 ทุน แบ่งเป็นทุนของสายศิลป์ 25 ทุน แล้วก็สายวิทย์ 25 ทุนครับ

ทำไมถึงเลือกไปศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่น
จากหัวข้องานวิจัยของผมที่จริงมี 3 ประเทศที่เชี่ยวชาญด้านเครื่องสำอาง คืออเมริกา เยอรมัน และญี่ปุ่น อย่างญี่ปุ่นก็มีแบรนด์ที่มีชื่อเสียงเช่น Shisedo หรือ Kao ที่เลือกญี่ปุ่นเพราะคนญี่ปุ่นจะมีผิวพรรณที่ใกล้เคียงกับคนไทยมากกว่า อีกอย่างผมก็อยากได้ภาษาที่ 3 ด้วย นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังเป็นประเทศที่มีทั้งวัฒนธรรม และเทคโนโลยีในประเทศเดียวกัน ซึ่งน่าสนใจมาก เพราะสำหรับผมการเดินทางก็ถือเป็นการเรียนรู้อีกวิธีหนึ่งครับ

ทำไมถึงเลือก Tokyo University of Technology
เพราะที่นี่มีอาจารย์ที่ทำงานในสาขาที่ผมสนใจครับ และที่นี่ก็เป็นที่เดียวที่มีภาควิชา Cosmetic Science และอาจารย์ที่ปรึกษาก็สนใจในหัวข้อที่ผมจะทำพอดี ทุกคนที่ต้องการหาข้อมูลนักวิจัยของญี่ปุ่นสามารถเข้าไปดูข้อมูลได้ที่ฐานข้อมูลนักวิจัย http://www.read.co.jp ได้ครับ จะมีข้อมูลนักวิจัยทั่วญี่ปุ่นทั้งในและนอกมหาวิทยาลัยครับ และสามารถติดต่อนักวิจัยเหล่านั้นได้ผ่านทางอีเมลด้วยครับ

มาคำถามแบบสบายๆ กันบ้างดีกว่า คิดอย่างไรกับคำกล่าวที่ว่า
“เซนเซที่วาเซดะสวยทุกคน”

ผมคิดว่าไม่ใช่เฉพาะแต่เซนเซหรอกครับที่สวย ผู้หญิงทุกคนก็สวยทั้งนั้น ทุกคนมีความสวยในแบบของตัวเอง บางคนเวลายิ้มก็ทำให้สวยขึ้น บางคนนิสัยดีทำให้ดูสวยขึ้นได้ครับ

การเตรียมตัวก่อนเดินทางไปศึกษาต่อที่ญี่ปุ่น
ก็คงเป็นเรื่องภาษาที่ใช้เรียนน่ะครับ อย่างศัพท์เทคนิคนี่ผมไม่รู้เลย ผมเคยลองส่งอีเมลไปถาม Professor ที่ญี่ปุ่น เขาก็แนะนำให้อ่านหนังสือเคมีม.ปลายของญี่ปุ่นดูครับ แต่ผมอ่านไม่ออกเลยต้องเปิด Dict แทบทุกคำ ก็เลยกังวลเรื่องนี้มาก แต่เรื่องอื่นๆ อย่างการใช้ชีวิตก็ไม่ค่อยกังวลครับเพราะที่ญี่ปุ่นมีสมาคมนักเรียนไทยที่คอยช่วยเหลือคนไทยด้วยกันในเรื่องทั่วๆ ไปอย่างเปิดบัญชี หรือซื้อโทรศัพท์อยู่แล้ว ก็เลยไม่กังวลครับ

มีสถานที่ไหนที่อยากไปในญี่ปุ่นบ้างคะ
อยากไปฮอกไกโดครับ ได้ยินว่านมเนย ขนม แล้วก็อาหารทะเลที่นั่นอร่อยมาก

เรียนจบแล้วตั้งใจว่าจะทำอะไรต่อไป
ก็คงจะทำงานในบริษัทญี่ปุ่นครับ ทำเกี่ยวกับเรื่องวิจัยผลิตภัณฑ์ พวกเครื่องสำอางค์ครับ

ฝากถึงเพื่อนๆ น้องๆ ที่สนใจอยากจะขอทุนการศึกษา
ข้อแรกต้องศึกษาข้อสอบ อย่างทุนรัฐบาลก็สามารถดาวน์โหลดข้อสอบปีก่อนๆ จากอินเตอร์เน็ตเพื่อเอามาอ่าน เตรียมตัวก่อนได้ เพราะถ้าเรารู้แนวข้อสอบก็เท่ากับว่าเราประสบความสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง สอง ต้องมีหัวข้อวิจัยที่ทำได้จริงแล้วก็เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย นอกจากนี้เวลาเขียน Study plan ควรเขียนความตั้งใจที่จะทำอย่างอื่นด้วยนอกเหนือจากเรื่องเรียน เช่น ผมเขียนว่าอยากจะไปศึกษาวัฒนธรรมญี่ปุ่นด้วยเพื่อทำให้คนที่พิจารณาให้ทุนเห็นเราเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ไทย – ญี่ปุ่นทั้งเรื่องเทคโนโลยีและวัฒนธรรมครับ ส่วนเรื่องการอ่านหนังสือ ผมก็ตั้งแผนการอ่านเอาไว้เพื่อบังคับไม่ให้ตัวเองขี้เกียจ เช่นกำหนดว่าแต่ละต้องอ่านหนังสือแค่ไหน สมมติว่าถ้าวันนี้ขี้เกียจไม่อ่านหนังสือ พรุ่งนี้ก็ต้องอ่านเพิ่มเป็น 2 เท่า ที่สำคัญคือต้องเคารพกฏที่ตัวเองตั้งขึ้นครับ

 
5 Comments

Posted by on 02/23/2010 in student Talk