จิ๊ป : ปริญญา ณรงค์ธนรัฐ
ศึกษาวิจัยระดับปริญญาโท คณะวิศวกรรมศาสตร์
ภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยโตเกียว
จั๊มป์ : เทียนไท กีระนันทน์
ศึกษาระดับปริญญาโท คณะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ประยุกตร์
ภาควิชาสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยวาเซดะ
ตาล : สารัตถิกา สินธุภิญโญ
ศึกษาภาษาญี่ปุ่น ณ ศูนย์ภาษาญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยวาเซดะ
แมน : ณัฐธวล เนินลพ
ศึกษาภาษาญี่ปุ่น ณ ศูนย์ภาษาญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยวาเซดะ
ก่อนอื่นกรุณาระบุระยะเวลาในการอยู่อาศัย ณ ประเทศญี่ปุ่นของแต่ละคน
จั๊มป์ : 1 ปีครึ่งครับ
จิ๊ป : 1 ปีครึ่งครับ
แมน : 1 ปี 3 เดือนครับ
ตาล : 1 ปีค่ะ
อยู่ญี่ปุ่นมานานคิดว่ามีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองบ้างไหมคะ
จิ๊ป : เริ่มทำตัวเป็นคนญี่ปุ่นมากขึ้น ซึมซับทัศนคติของคนญี่ปุ่น เหมือนถูกบังคับทางสังคม ให้ทำตัวเหมือนคนรอบข้าง เช่นเรื่องทิ้งขยะ ความเป็นระเบียบ พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ต้องทำตามกฎมหาวิทยาลัยด้วยครับ
แมน : ก็ คล้ายๆ กันครับ ต้องอยู่ในกรอบหลายอย่าง ถ้าไม่ทำตามอาจโดนมอง ยิ่งไปเจอคนฝรั่งที่อยู่ในญี่ปุ่นยิ่งเห็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมชัดเจนมากขึ้น เช่นเรื่องการกิน คนยุโรปจะกินข้าวไม่ได้ ปรับตัวยากกว่าคนเอเชียครับ
ตาล : เหมือนจิ๊ป ชีวิตอยู่ในกรอบ และระเบียบอย่างรุนแรง เช่น ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือบนรถไฟ หรือแค่คุยกันเองก็ไม่ได้จะถูกมองทันทีค่ะ
จั๊มป์ : ถ้าจะสื่อสารกันต้องใช้เมสเสจ เป็นสังคมที่เหมาะกับการใช้บีบีมาก
ตาล : คนญี่ปุ่นรักษามารยาทมากๆ ถ้าใครใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงดังออกมาข้างนอก ก็จะถูกตำหนิ อีกอย่างคือคนญี่ปุ่นรักษาเวลา คนโตเกียวจะเย็นชาไม่ค่อยสนใจกัน ไม่ค่อยคุยกัน แต่คนต่างจังหวัดอย่างโอซาก้าจะคุยจะสนใจคนอื่นมากกว่า นอกจากนี้ พอไปอยู่ญี่ปุ่นทำให้อยู่คนเดียวได้ จากที่ไม่เคยอยู่คนเดียวมาก่อนเลยค่ะ
จั๊มป์ : เรื่องรักษาเวลามากขึ้นนี่ไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ครับ สังคมญี่ปุ่นในห้องแล๊ปก็จะแตกต่างไปเลย ผมว่าไม่ใช่คนญี่ปุ่นไม่สนใจคนอื่น แต่บางทีแค่ตัวเองยังเอาไม่รอดเลยครับ ในแต่ละวันต้องรับผิดชอบชีวิตหนักมาก การได้ไปญี่ปุ่นทำให้แข็งแกร่งมากขึ้น เหมือนได้ยืนด้วยลำแข้งตัวเอง ไม่มีคนช่วย ไม่มีคนสนใจ เรียนแบบตัวใครตัวมัน อย่างเรื่อง就職活動(กิจกรรมหางาน) ของญี่ปุ่นแต่ละปีก็จะมีพีเรียดเดียวเท่านั้น คือคนญี่ปุ่นเขาจะหางานล่วงหน้ากันเป็นปี ต้องเตรียมตัวแย่งงานกัน ถ้าหาไม่ได้ก็จะไม่มีงานทำครับ
ไปญี่ปุ่นแล้วมองเมืองไทยเปลี่ยนไปไหม
จิ๊ป : มีบ้างครับ เมื่อก่อนเห็นแต่เรื่องไม่ดีของไทย อย่างเรื่องรถติด แต่พอไปญี่ปุ่นกลับมาแล้วคิดว่าคนไทยนี่ก็ดีนะ ไม่เย็นชา โทรศัพท์ที่ไหนก็ได้ อีกเรื่องคือตื่นตัวกับฤดูกาลมากขึ้น ว่าฤดูนี้ต้องทำอะไร เวลาดูทัวร์ ต้องดูให้เข้ากับฤดูกาล เช่นฤดูใบไม้ผลิไปดูซากุระ ฤดูหนาวไปเล่นสกี เรื่องอาหารก็ต้องกินตามฤดูกาล แต่พอลองกินนอกฤดู ผมว่ามันก็อร่อยเหมือนกันนะ
จั๊มป์ : เมื่อก่อนนี้ ผมขับรถใจร้อน ด่าไปทั่ว พอไปญี่ปุ่นกลับมาแล้วคิดว่า แค่เรื่องขับรถไม่เห็นต้องเครียดเลย ซีเรียสน้อยลงมาก อีกอย่างคือรู้สึกว่าบีทีเอสที่เมืองไทยโล่งมาก แท็กซี่ก็ราคาถูกมาก รถเมล์ก็ดีขึ้นตรงไหนก็ได้ เวลาเดินขึ้นบันไดคู่รักเดินจับมือกัน ยืนเป็นคู่ออกันก็ได้ สบายมากๆ ที่จริงความเป็นระเบียบมันก็เป็นเรื่องดีนะครับ แต่ถ้ามากไปมันก็ไม่ใช่มนุษย์
ตาล : จริงค่ะ บีทีเอสเมืองไทยแต่งหน้าก็ได้ เมืองไทยมีผักให้กินตลอดปี ถูกด้วย รถไฟญี่ปุ่นนี่มีคนกระโดดให้รถทับตายรายวัน ไม่รู้ทำไมชอบโดดตอน 4 ทุ่ม ทำให้รถไปไม่ได้ พอเที่ยงคืนรถไฟก็หมดอีก เวลาไปเรียน ไปทำงานคนญี่ปุ่นจะรีบมาก ขึ้นบันไดต้องหลบซ้าย แต่คนไทยไม่มีการหลบ ไปสายก็สายไม่เป็นไรค่ะ
แมน : อยู่ที่ความเคยชินครับ พอมาเมืองไทยต้องคิดเองมากขึ้น เช่น บีทีเอสจะมากี่โมง อีกอย่างอยู่ที่ญี่ปุ่นจะสนใจเรื่องฤดูกาลมากขึ้น ต้องดูพยากรณ์อากาศทุกเช้า ที่ญี่ปุ่นพยากรณ์อากาศแม่นด้วยครับ
จั๊มป์ : ใช่ๆ เพราะญี่ปุ่นไม่มีกันสาดเหมือนบ้านเรา ดังนั้นต้องดูพยากรณ์อากาศไม่งั้นอาจเปียกได้
แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวกันหน่อย
แมน : ไปฮอกไกโด ผมเคยไปตอนฤดูร้อน แต่อากาศดีประมาณ 20 องศา ไปดูการทำเกษตร ทำสวน ไปพักโฮมสเตย์ ได้คุยกับเจ้าของบ้านแล้วก็นักท่องเที่ยวที่ไปพัก เจ้าของบ้านเขาสนใจคนต่างชาติเหมือนกัน เขามีการทำแฟ้มประวัติจดไว้เป็นเล่มๆ อาหารก็ทำกันเอง รู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติ และวิถีชีวิตมากๆ แล้วเขาก็แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่มีในไกด์บุ๊คให้ด้วย นอกจากนี้ก็มีชนเผ่าไอนุ ชนเผ่าโบราณของญี่ปุ่น ข้าวของก็เยอะมากมาย มีทั้งทุ่งหญ้าและทะเล สวยมากครับ ชอบมาก
ตาล : ชอบแถบคันไซ ชอบเกียวโต นารา ชอบวัด วัดสวยมาก คือวัดญี่ปุ่นจะไม่เหมือนของไทย เหมือนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมากกว่า วัยรุ่นก็ชอบไปเที่ยว อีกอย่างโตเกียวจะรักษาชุดประจำชาติได้ดีมาก ยังมีไมโกะ มีเกอิชาอยู่ เมืองสวย มีความเป็นญี่ปุ่นสูง เหมาะกับชาวต่างชาติที่อยากเห็นญี่ปุ่นจริงๆ ส่วนตัวชอบวัดคิโยมิสึ พราะสวยแบบไม่ต้องประดิษฐ์มากเกินไป ชอบไม้ ชอบธรรมชาติ อยู่ในป่าด้วย ส่วนวัดทองก็สวยนะ แต่เหมือนผ่านการประดับตกแต่งแล้ว แล้วไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ค่ะ
จั๊มป์ : ฟุกุโอกะครับ แต่ควรเป็นคนที่เคยไปโตเกียวแล้ว เพราะทุกอย่างเหมือนโตเกียว แต่ช้ากว่า ไม่รีบ คนไม่เยอะ เดินสบาย ข้าวของเหมือนกัน สาวๆ ก็แต่งตัวเก่ง มีจุดที่สามารถไปเที่ยวได้เยอะ โรแมนติกด้วย มีสีสัน วัฒนธรรมก็หลากหลาย ที่สำคัญคือสนามบินใกล้เมืองมากครับ (จะใกล้ไปไหน)
จิ๊ป : แนะนำโอโนมิจิครับ เป็นเมืองเล็กๆในฮิโรชิมา ฮวงจุ้ยดี หน้าเป็นทะเลหลังเป็นภูเขา มีสุสานเยอะดีครับ อารมณ์เดียวกับปายของบ้านเรา มีศิลปินย้ายไปอยู่เยอะ เพื่อไปทำงานศิลปะ โรแมนติกด้วย ชาวบ้านก็ทำงานเล็กๆ สบายๆ ร้านขายของก็น่ารักครับ
อยากมีแฟนเป็นคนญี่ปุ่นไหม
จิ๊ป : คนญี่ปุ่นที่สวยก็มีครับ แต่ผมไม่รู้จัก ที่รู้จักไม่ค่อยมีแบบที่ชอบ แล้วแต่คนนะ ผมว่าผู้หญิงญี่ปุ่นมีแบบแผนในการใช้ชีวิตมากเกินไป เช่น เรียนจบก็ทำงาน แต่งงาน พออายุ 27-28 ก็ต้องแต่งงาน ถ้าอายุ 28 แล้วยังไม่ได้แต่งงานจะรู้สึกผิด ผู้หญิงญี่ปุ่นกังวลกับเรื่องนี้มาก ถ้าถามว่าสวยไหม ผู้หญิงตามถนนที่เห็นสวยๆ แต่พอกลับบ้านล้างหน้าแล้วไม่รู้จะสวยรึเปล่า คือแต่งตัวมาก ไม่เป็นตัวของตัวเอง ยกเว้นพวกคุณแม่ยังสาวที่สวยมากๆ (คนดีๆ มักมีเจ้าของหมดแล้ว)
จั๊มป์ : ผู้หญิงญี่ปุ่นน่ารำคาญ พยายามแอ๊บตลอดเวลา ภาษาญี่ปุ่นจะมีตัวคันจิที่เป็นตัวผู้หญิง 3 ตัวเรียงกันแล้วแปลว่าน่ารำคาญ เสียงดัง (姦しい) ถามว่าสวยไหม ก็ยอมรับว่าเขาโครงหน้าดีกว่าบ้านเรา แต่งง่าย ไม่เหมือนคนไทยที่ต้องปรับเยอะ แต่งตัวเก่งไหม ก็เก่ง แต่ถ้าบ่อยๆ มันก็ซ้ำซาก น่าเบื่อ เหมือนแต่งตัวตามแม็กกาซีน
แมน : คล้ายๆ พี่จิ๊ป ไม่จีบครับ ไม่ใช่สเป็ก ต้องดูนิสัยก่อน คงจะมองจากคนญี่ปุ่นโดยรวมด้วยแหละ เครียด มีแบบแผน อยู่กับตัวเอง ชีวิตของฉันก็ของฉัน ของคุณก็ของคุณ คือไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจเราได้ไหม
ตาล : ไม่ชอบอย่างแรง ผู้ชายญี่ปุ่นดู Bossy บ้าอำนาจ ฉันใหญ่ตลอดเวลา เป็นเจ้านายตลอด เป็นภรรยาเหมือนเป็นทาส อีกอย่างไม่ชอบ Salary man เลย ไม่มีน้ำใจ เวลาผู้หญิงกับผู้ชายขึ้นรถไฟมาด้วยกัน ผู้ชายจะนั่ง ให้ผู้หญิงถือของให้ เปิดประตูให้ ผู้ชายญี่ปุ่นไม่สุภาพ ไม่อ่อนโยน ไม่โรแมนติกค่ะ
เคยไปออนเซ็นรวมไหม
จิ๊ป : เคยไปแบบที่มีฝากั้นหญิง-ชาย ผมลงบ่อครับ เคยไปกับคนญี่ปุ่น 2 ครั้ง ลงกับคนไทยด้วยกันก็เคยครับ
จั๊มป์ : คนญี่ปุ่นเปิดเผยดี พอเขาถามว่าเคยมาไหม ถามแล้วก็ถอดเลย ไม่สนใจคำตอบเราเลย มองไปอีกทีเสื้อผ้ากองเป็นเลขแปดแล้ว แต่ไม่เครียดครับ พอถอดแว่นผมก็มองไม่เห็นอะไรแล้ว ก็คลำๆเอา
แมน : เคยไปที่ฮอกไกโด ออนเซ็นติดทะเล คุยกันให้ดูเห็นๆ แบบชุ่ยมากครับ
ตาล : ไม่เคยลง เพราะไปกับเพื่อนคนไทย ถ้าไปกับคนญี่ปุ่นอาจจะลงก็ได้ค่ะ